คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8046/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสิบสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่างวดและดอกแชร์ที่จำเลยได้เรียกเก็บจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปแล้ว แต่ไม่ส่งมอบให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 242,157.50 บาท แม้โจทก์ทั้งสิบสองจะร่วมเล่นแชร์ในวงแชร์ที่มีจำเลยเป็นนายวง แต่โจทก์แต่ละคนก็ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสิบสองมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 การคำนวณทุนทรัพย์จึงต้องแยกตามจำนวนเงินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องให้จำเลยรับผิด เมื่อโจทก์แต่ละคนไม่ได้ระบุจำนวนเงินที่ตนเรียกร้องก็ต้องถือว่าโจทก์แต่ละคนเรียกร้องจำนวนเงินเท่าๆ กัน ซึ่งคือคนละ 20,179.75 บาท คดีของโจทก์แต่ละคนจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบสองฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2538 จำเลยตั้งวงแชร์ขึ้นโดยจำเลยเป็นนายวงแชร์ มีโจทก์ทั้งสิบสองและบุคคลอื่นๆ รวม 44 ราย เป็นลูกวงแชร์ มีข้อตกลงว่าจะมีการประมูลแชร์กันทุกวันสิ้นเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2538 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2542 ลูกวงแชร์ที่ประมูลไปแล้วจะต้องส่งค่างวดพร้อมทั้งดอกแชร์ที่ประมูลได้จนครบทุกเดือน ภายในวันที่ 2 ของเดือน จำเลยในฐานะนายวงแชร์จะได้รับเงินค่างวดในเดือนแรกโดยไม่ต้องประมูล แต่จำเลยมีหน้าที่ต้องเก็บรวบรวมค่างวดพร้อมทั้งดอกแชร์ตามจำนวนที่ลูกวงแชร์ประมูลได้ไปก่อนแล้วเพื่อส่งให้แก่ผู้ที่ประมูลได้ภายในวันที่ 3 ของเดือน หากลูกวงแชร์คนใดไม่ชำระเงินค่างวดและดอกแชร์หรือวงแชร์ต้องเลิก จำเลยยอมรับผิดชดใช้ค่างวดรวมทั้งดอกแชร์ที่ลูกวงแชร์ประมูลได้ไปก่อนแล้วให้แก่ลูกวงแชร์ที่ยังไม่ได้ประมูลจนครบ โจทก์ทั้งสิบสองส่งเงินค่างวดให้แก่จำเลยครบถ้วนตามข้อตกลงรวม 24 เดือน ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2540 จำเลยขอให้โจทก์ทั้งสิบสองและลูกวงแชร์ที่ยังไม่ได้ประมูลหยุดส่งเงิน โดยจำเลยจะเรียกเก็บเงินค่างวดพร้อมดอกแชร์จากผู้ที่ประมูลได้ไปก่อนแล้วมาชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองจนครบ จำเลยได้นำเงินที่เรียกเก็บจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปก่อนแล้วมาชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองเพียง 13 เดือน ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ 2541 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 จำเลยได้เรียกเก็บเงินจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปก่อนแล้ว แต่ไม่นำมาชำระให้โจทก์ทั้งสิบสอง เป็นเงินค่างวดจำนวน 169,000 บาท และดอกแชร์จำนวน 73,157.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 242,157.50 บาท โจทก์ทั้งสิบสองทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 242,157 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 196,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ทั้งสิบสองเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสิบสองเคลือบคลุม จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสิบสองตามฟ้อง จำเลยมีหน้าที่รับเงินจากลูกวงแชร์ที่ยังประมูลไม่ได้และจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้แล้วส่งมอบให้แก่ผู้ที่ประมูลได้ในลำดับถัดไป ซึ่งจำเลยได้ดำเนินการตามหน้าที่ครบถ้วน จำเลยไม่ได้รับเงินที่โจทก์ทั้งสิบสองมีสิทธิจะได้รับไว้เป็นการส่วนตัว โจทก์ทั้งสิบสองได้เรียกและรับเงินจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปก่อนแล้วไปแบ่งสันปันส่วนกันเองตลอดมาเป็นเวลา 1 ปีเศษ โดยไม่แจ้งให้จำเลยรับทราบ ต่อมาโจทก์ทั้งสิบสองเรียกเก็บเงินจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปแล้วไม่ได้ จึงมาฟ้องจำเลยรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 242,157 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 169,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 กรกฎาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสิบสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบสองร่วมเล่นแชร์วงพิพาท โจทก์ทั้งสิบสองได้ส่งเงินค่างวดให้แก่จำเลยจนครบตามข้อตกลงรวม 24 เดือน ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2540 จำเลยได้ขอให้โจทก์ทั้งสิบสองและลูกวงแชร์ที่ยังไม่ได้ประมูลหยุดส่งเงิน โดยจำเลยจะเป็นผู้เรียกเก็บเงินพร้อมดอกแชร์จากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปก่อนแล้วมาชำระให้โจทก์ทั้งสิบสองจนครบ โดยจำเลยแบ่งลูกวงแชร์ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มของโจทก์ 12 คน จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบชำระเงินให้เดือนละ 18,627.50 บาท เป็นเวลา 26 เดือน ส่วนอีก 25,800 บาท โจทก์ทั้งสิบสองจะเป็นผู้เรียกเก็บจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปแล้วซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชและรับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าวเอง โดยให้กลุ่มของโจทก์ทั้งสิบสองจัดการแบ่งเงินแต่ละเดือนกันเอง จำเลยได้นำเงินที่เรียกเก็บจากลูวงแชร์ที่ประมูลได้ไปแล้วส่งให้แก่โจทก์ทั้งสิบสองถึงเดือนมกราคม 2541 เพียง 13 เดือนเท่านั้น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2541 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542 จำเลยได้เรียกเก็บเงินค่างวดจากลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ไปแล้ว แต่ไม่ส่งมอบให้แก่โจทก์ทั้งสิบสอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 242,157.50 บาท โจทก์ทั้งสิบสองทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่างวดและดอกแชร์ดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสิบสองดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แม้โจทก์ทั้งสิบสองจะร่วมเล่นแชร์ในวงแชร์ที่มีจำเลยเป็นนายวง แต่โจทก์แต่ละคนก็ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสิบสองมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 การคำนวณทุนทรัพย์จึงต้องแยกตามจำนวนเงินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องให้จำเลยรับผิด เมื่อโจทก์แต่ละคนไม่ได้ระบุจำนวนเงินที่ตนเรียกร้อง ก็ต้องถือว่าโจทก์แต่ละคนเรียกร้องจำนวนเงินเท่าๆ กัน ซึ่งคือคนละ 20,179.75 บาท คดีของโจทก์แต่ละคนจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ชำระเงินค่าแชร์ให้โจทก์ทั้งสิบสองครบถ้วนแล้ว ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ยกฎีกาจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share