แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารโดยไม่ชำระเงินงวดสุดท้ายที่ต้องชำระในวันที่ 1 เมษายน 2540 สัญญาจึงเลิกกัน จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ผิดนัดชำระในงวดดังกล่าวเพราะโจทก์ยังไม่จัดหาธนาคารให้จำเลยกู้เงินมาชำระค่าที่ดินและอาคารงวดสุดท้ายในวันที่ 1 เมษายน 2540 ประเด็นในคดีจึงมีว่าการที่จำเลยยังไม่ชำระเงินงวดสุดท้ายในวันที่ 1 เมษายน 2540 ตามที่สัญญาระบุไว้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารระหว่างโจทก์และจำเลยเลิกกันหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ถือกำหนดเวลาชำระเงินงวดที่ 26 ซึ่งตามสัญญาระบุไว้ว่าต้องชำระในวันที่ 1 เมษายน 2540 เป็นสาระสำคัญ จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นในคดี มิได้นอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การแต่อย่างใด
แม้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารจะกำหนดว่าจำเลยต้องชำระเงินค่าที่ดินและอาคารที่เหลือต่อไปอีก 26 งวด ภายในวันที่ 1 ของทุก ๆ เดือน แต่เมื่อจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดตั้งแต่งวดที่ 8 เป็นต้นมา โจทก์ก็ยินยอมรับไว้โดยมิได้ทักท้วง ทั้งเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาชำระเงินงวดสุดท้ายมาเกือบ 1 ปี โจทก์ยังมีหนังสือแจ้งให้จำเลยจัดส่งเอกสารเพื่อยื่นขอสินเชื่อสำหรับเงินงวดสุดท้ายจากธนาคารให้โจทก์อีกด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์และจำเลยไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระเงินตามสัญญาเป็นข้อสำคัญ ดังนี้ เมื่อจำเลยยังมิได้ชำระเงินงวดสุดท้ายภายในกำหนดเวลาที่กำหนด จะถือว่าจำเลยผิดนัดผิดสัญญาและสัญญาเลิกกันทันทีไม่ได้ หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญา โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินงวดสุดท้ายภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 เสียก่อน ส่วนหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารพิพาทไม่ถือว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญา ไม่มีผลให้สัญญาเลิกกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารพิพาท ให้จำเลยส่งมอบที่ดินและอาคารพิพาทแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 59,800 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 2,300 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารพิพาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2538 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 235784 ตำบลแพรกษา (แพรกตาสา) อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมอาคารเลขที่ 586/97 จากโจทก์ในราคา 1,509,125 บาท จำเลยชำระเงินในวันจอง 15,000 บาท ส่วนที่เหลือ 1,494,125 บาท ผ่อนชำระ 26 งวด งวดแรกชำระในวันทำสัญญา งวดต่อไปทุกวันที่ 1 ของเดือน งวดสุดท้ายวันที่ 1 เมษายน 2540 ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคาร จำเลยชำระเงินแก่โจทก์รวม 25 งวด เป็นเงิน 450,500 บาท คงค้างชำระเงินงวดสุดท้าย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2541 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยจัดส่งเอกสารแก่โจทก์เพื่อที่จะยื่นขอสินเชื่อสำหรับเงินงวดสุดท้ายจากธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) แต่ยังไม่ได้รับสินเชื่อ ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2542 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคาร
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ถือกำหนดเวลาชำระเงินงวดที่ 26 ซึ่งตามสัญญาระบุไว้ว่าต้องชำระในวันที่ 1 เมษายน 2540 เป็นสาระสำคัญ เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องเพราะเป็นคนละประเด็นกับที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารโดยไม่ชำระเงินงวดที่ 26 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายที่ต้องชำระในวันที่ 1 เมษายน 2540 สัญญาจึงเลิกกัน จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ผิดนัดชำระในงวดดังกล่าวเพราะโจทก์ยังไม่จัดหาธนาคารให้จำเลยกู้เงินมาชำระค่าที่ดินและอาคารงวดสุดท้ายตามที่ตกลงไว้ ประเด็นในคดีจึงมีว่าการที่จำเลยยังไม่ชำระเงินงวดที่ 26 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายในวันที่ 1 เมษายน 2540 ตามที่สัญญาระบุไว้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารระหว่างโจทก์และจำเลยเลิกกันหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ถือกำหนดเวลาชำระเงินงวดที่ 26 ซึ่งตามสัญญาระบุไว้ว่าต้องชำระในวันที่ 1 เมษายน 2540 เป็นสาระสำคัญ จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นในคดีมิได้นอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การแต่อย่างใด แม้จะได้วินิจฉัยไปถึงกำหนดเวลาชำระเงินในงวดก่อน ๆ ไว้ด้วยว่าโจทก์ไม่ถือเป็นสาระสำคัญเรื่อยมาด้วยก็ตาม จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารระหว่างโจทก์และจำเลยทำให้สัญญาเลิกกันหรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวจะกำหนดว่าจำเลยต้องชำระเงินค่าที่ดินและอาคารที่เหลือ 1,494,125 บาท ต่อไปอีก 26 งวด ภายในวันที่ 1 ของทุก ๆ เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2540 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดตั้งแต่งวดที่ 8 เป็นต้นมา โจทก์ก็ยินยอมรับไว้โดยมิได้ทักท้วง ทั้งเมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาชำระเงินงวดสุดท้ายมาเกือบ 1 ปี โจทก์ก็ยังมีหนังสือแจ้งให้จำเลยจัดส่งเอกสารเพื่อที่จะยื่นขอสินเชื่อสำหรับเงินงวดสุดท้ายจากธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ไปให้โจทก์อีกด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์และจำเลยไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระเงินตามสัญญาเป็นข้อสำคัญ ดังนี้เมื่อจำเลยยังมิได้ชำระเงินงวดสุดท้ายซึ่งต้องชำระในวันที่ 1 เมษายน 2540 จะถือว่าจำเลยผิดนัดผิดสัญญาและสัญญาเลิกกันทันทีไม่ได้ หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญา โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินงวดสุดท้ายภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน ส่วนหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารพิพาทไม่ถือว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญา ไม่มีผลให้สัญญาเลิกกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.