คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8046/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นและคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็ตาม แต่ในข้อที่จำเลยให้การว่าอย่างไร ตลอดถึงการนำชี้ที่เกิดเหตุและการนำไปเอามีดของกลางที่ใช้แทงผู้ตายนั้น เจ้าพนักงานตำรวจเป็นพยานรู้เห็นโดยตรง
ปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำผิดเพราะความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือไม่นั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่เมื่อคดีมีเหตุที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225
จำเลยและ บ. สามีอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในบ้านพัก จำเลยเป็นหญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าจึงอาจถูก บ. ข่มเหงเอาได้ตลอดเวลา ทั้งจำเลย เป็นชู้กับผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่ บ. อาจฆ่าจำเลยเสียได้จริง และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจ พาจำเลยมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยร้องไห้และเล่าถึงเหตุที่ บ. บังคับให้นัด ผู้ตายมาพบเพื่อฆ่า หากไม่นัดจะฆ่าจำเลยและผู้ตายทั้งสองคนให้ฟัง ทั้งผู้ตายยอมทำตามที่จำเลยชักชวนโดยไม่ระแวงสงสัย ชี้ให้เห็นว่า จำเลยร่วมฆ่าผู้ตายเพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ บ. ซึ่งไม่สามารถ หลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ แต่การที่จำเลยถึงกับยอมร่วมมือกับ บ. ฆ่าผู้ตาย ถือได้ว่าได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใด ก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67(1),69 แต่เมื่อผู้ตายเองก็มี ส่วนก่อเหตุอยู่ด้วยโดยมาติดพันจำเลยจนได้เสียเป็นชู้กันทั้งที่รู้อยู่ว่า จำเลยมีครอบครัวอยู่แล้ว จึงสมควรกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมกับความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 83 ริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 83 ให้ประหารชีวิตจำเลย คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายร่างกายผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกนิพันธ์ ปิ่นกระจาย นายดาบตำรวจนพรัตน์ แสวงศิริผล และพันตำรวจโทชาติชาย สุขัคคานนท์ เป็นพยานเบิกความประกอบกันว่า เมื่อได้รับแจ้งจากนายสุเนตร ผ่องกระโทกว่าพบศพผู้ตายใต้ต้นมะขามเทศริมคลองสองแถว จึงได้ไปทำการชันสูตรพลิกศพตรวจสถานที่เกิดเหตุและสืบหาตัวคนร้าย จากการสอบถามนางลำพู ศรีละออ ภรรยาผู้ตายเข้าใจว่าสาเหตุฆ่ากันตายน่าจะมาจากเรื่องชู้สาว เนื่องจากผู้ตายลักลอบได้เสียกับจำเลย นายดาบตำรวจนพรัตน์ได้ไปสอบถามที่บริษัทที่ผู้ตายและจำเลยทำงานอยู่ได้ความว่าผู้ตายลักลอบได้เสียกับจำเลยจริง โดยที่ต่างคนก็มีสามีภรรยากันอยู่แล้วและปรากฏว่าจำเลยและสามีไม่มาทำงานตั้งแต่วันเกิดเหตุ ทั้งได้ย้ายออกจากบ้านเช่าที่เขตลาดกระบังไปแล้ว นายดาบตำรวจนพรัตน์ และร้อยตำรวจเอกนิพันธ์ กับพวกจึงได้ติดตามจำเลยไปที่อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร พบแต่จำเลยคนเดียวส่วนนายบุญเพ็ง สุวรรณหาร สามีจำเลยไม่พบ จึงได้เชิญตัวจำเลยมาที่สถานีตำรวจนครบาลอุดมสุข ขณะขับรถผ่านที่เกิดเหตุได้จอดรถและพาจำเลยลงไปดู จำเลยร้องไห้รับสารภาพว่าได้นัดหมายผู้ตายมายังที่เกิดเหตุให้สามีจำเลยฆ่าผู้ตายจริง เมื่อนำตัวจำเลยมาถึงสถานีตำรวจนครบาลอุดมสุขจึงได้ให้จำเลยเขียนคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.16 ชั้นสอบสวนจำเลยคงยืนยันให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.22 และพาไปชี้ที่เกิดเหตุและที่ทิ้งมีดที่ใช้แทงผู้ตาย พบมีดของกลางอยู่ในป่าหญ้ารกห่างที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ฝ่ายจำเลยมีจำเลย นายค่ำ สีดามาตร บิดาจำเลยและนายหนู เดชอุทัย เป็นพยานเบิกความว่าวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านที่จังหวัดสกลนคร เห็นว่า แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น คำรับสารภาพชั้นจับกุม และสอบสวนของจำเลยเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็ตามแต่ในข้อที่ว่าจำเลยให้การว่าอย่างไร ตลอดถึงการนำชี้ที่เกิดเหตุและการนำไปเอามีดของกลางที่ใช้แทงผู้ตายพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานรู้เห็นโดยตรง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางทองสุข ยงยุทธ ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุคนละฝั่งคลอง เป็นพยานแวดล้อมกรณีเบิกความว่า ในวันเวลาใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุจำเลยมาให้พยานบีบนวดอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ใกล้กับบ้านของพยานมีร้านขายก๋วยเตี๋ยว สอดคล้องกับคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยให้นางทองสุขบีบนวด ส่วนผู้ตายไปกินก๋วยเตี๋ยวรออยู่ที่ร้านค้า ผลการตรวจภายในของสถาบันนิติเวชวิทยาตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมาย จ.9 พบก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ผัก และเนื้อย่อยบางส่วนในกระเพาะอาหารของผู้ตาย นอกจากนี้จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพนักงานสอบสวนตามบันทึกเอกสารหมาย จ.17 พบว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีหญ้าขึ้นรกสูงประมาณ 1 เมตรเศษพบกองเลือดเป็นบริเวณกว้าง ถัดจากกองเลือดไปทางทิศใต้มีร่องรอยการต่อสู้หญ้าราบเป็นทาง พบรองเท้าแตะ 1 คู่ และเลยเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร พบศพผู้ตายมีแผลถูกแทงที่หน้าท้องที่สีข้างซ้าย ที่แผ่นหลังและที่คอ ที่ขาซ้ายและต้นขาซ้าย และที่แขนซ้าย มือซ้าย นิ้วก้อย และหลังมือมีบาดแผล ผลการตรวจร่างกายของจำเลยตามรายงานเอกสารหมาย จ.10 พบแผลฉีกขาดที่เท้าขวาด้านในระหว่างหัวแม่เท้า และตาตุ่มเป็นแผลเก่านานประมาณ 1-2 สัปดาห์ ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การทั้งที่จำเลยเขียนเองและที่รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่า นายบุญเพ็งใช้มีดของกลางแทงผู้ตายที่หน้าท้อง ผู้ตายวิ่งหนี นายบุญเพ็งวิ่งไล่ตามไปติด ๆ และใช้มีดจ้วงแทงที่หลังจนล้มลงแล้วกอดปล้ำต่อสู้กัน ผู้ตายนั่งทับตัวนายบุญเพ็งและพยายามแย่งมีดนายบุญเพ็งร้องเรียกให้จำเลยช่วย จำเลยจึงเข้าไปทางด้านหลังใช้มือทั้งสองข้างกระชากเสื้อยืดของผู้ตายที่คอจนผู้ตายหงายหลัง นายบุญเพ็งใช้มีดแทงผู้ตายหลายครั้งจนผู้ตายเงียบไป นายบุญเพ็งใช้มือทั้งสองข้างลากเท้าผู้ตายเข้าไปในป่าแล้วจำเลยและนายบุญเพ็งออกมาที่ถนนเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่ตลาดหมอชิต เมื่อมาถึงถนนบางนา-ตราด นายบุญเพ็งให้รถแท็กซี่จอดบอกว่าปวดท้อง เมื่อรถแท็กซี่ไปแล้ว นายบุญเพ็งได้วิ่งข้ามถนนเอามีดขว้างทิ้งเข้าไปในป่าหญ้าแล้วจำเลยกับนายบุญเพ็งเรียกรถแท็กซี่คันใหม่ให้ไปส่งที่ตลาดหมอชิตขึ้นรถโดยสารกลับจังหวัดสกลนคร รับกับร่องรอยที่พบในที่เกิดเหตุทุกอย่าง ตลอดทั้งบาดแผลของผู้ตาย ของจำเลย และสถานที่ซึ่งพบมีดของกลาง ยากที่พนักงานสอบสวนจะชี้นำหรือเรียบเรียงขึ้นเอง ทั้งไม่มีเหตุที่จะต้องกระทำเช่นนั้นเชื่อได้ว่าคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นความจริง ที่จำเลยนำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจเอากระดาษเปล่ามาให้เซ็นชื่อบอกว่าให้ทำตามที่เขาพูด เมื่อจับสามีจำเลยได้แล้วจะปล่อยตัว รวมทั้งพยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต่อไปว่า จำเลยกระทำผิดเพราะความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในข้อนี้ แต่เมื่อคดีมีเหตุที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225 ปรากฏตามบันทึกคำรับสารภาพของจำเลยที่จำเลยเขียนเองและที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.16 และ จ.22สรุปได้ว่าเมื่อประมาณ 2 ปี มานี้ จำเลยกับสามีได้เดินทางจากจังหวัดสกลนครมาหางานทำและได้ทำงานที่โรงงานของบริษัทไทยสแตนเลส สตีล จำกัด แต่อยู่คนละแผนกจำเลยทำงานอยู่แผนกเดียวกับผู้ตายซึ่งทำงานอยู่ก่อนแล้ว ผู้ตายเข้ามาพยายามทำดีกับจำเลยและเอาใจทุกอย่างจนลักลอบได้เสียกันต่อมานายบุญเพ็งสงสัยได้คาดคั้นเอาความจริงจากจำเลยด้วยความโกรธแค้นจนจำเลยต้องรับ หลังจากนั้นนายบุญเพ็งมีอาการเงียบขรึมจนน่ากลัว จนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2539 นายบุญเพ็งพูดกับจำเลยว่าจะให้โอกาสจำเลยกลับตัวสักครั้งเนื่องจากสงสารลูกที่ยังเล็ก แต่ต้องทำตามที่นายบุญเพ็งสั่ง ถ้าไม่เช่นนั้นนายบุญเพ็งจะฆ่าเสียทั้งสองคน ด้วยความกลัวเพราะรู้นิสัยดีว่านายบุญเพ็งเป็นคนพูดความจริงจำเลยจึงตอบตกลงว่าจะยอมทำตามที่นายบุญเพ็งสั่ง นายบุญเพ็งจึงบอกแผนให้ฟังว่าให้นัดผู้ตายไปยังที่เกิดเหตุ แต่ให้แกล้งไปเอายาเสียก่อนเพื่อรอให้มืดสักหน่อยจำเลยพยายามพูดว่าไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอกกลับไปเริ่มต้นกันใหม่ที่สกลนครก็ได้ แต่นายบุญเพ็งไม่ยอม วันรุ่งขึ้นเมื่อจำเลยกลับมาจากซื้อกับข้าวพบนายบุญเพ็งกำลังเก็บเสื้อผ้าเฉพาะของนายบุญเพ็ง จำเลยพยายามขอร้องว่าอย่าทำเลยแต่นายบุญเพ็งไม่ยอม ก่อนออกจากบ้านนายบุญเพ็งกำชับจำเลยว่าให้พาผู้ตายไปยังที่เกิดเหตุให้ได้ ไม่งั้นเตรียมตัวตายได้ จำเลยจึงไปหลอกชวนผู้ตายให้ไปร่วมหลับนอนกันอีกในวันรุ่งขึ้นและกลับมาบอกนายบุญเพ็งว่าได้นัดผู้ตายแล้วตามคำสั่ง และพยายามขอร้องให้นายบุญเพ็งเลิกคิดฆ่าผู้ตายอีก แต่นายบุญเพ็งไม่ยอม วันเกิดเหตุเมื่อจำเลยพาผู้ตายมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยทำทีเข้าไปปัสสาวะในป่า พบนายบุญเพ็งยืนถือมีดปลายแหลมรออยู่ นายบุญเพ็งถามว่ามันมาหรือไม่ จำเลยบอกว่ามา รออยู่ข้างนอกนายบุญเพ็งว่าไปเรียกมันเข้ามา จำเลยจึงตะโกนบอกผู้ตายว่า ทำกุญแจหายให้ผู้ตายเข้ามาช่วยหาแล้วถูกนายบุญเพ็งฆ่าตาย เมื่อฟังว่าคำรับสารภาพของจำเลยในส่วนที่เป็นโทษแก่จำเลยเป็นความจริงก็ต้องฟังตลอดไปถึงว่าคำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริงด้วย จึงเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยถูกนายบุญเพ็งบังคับให้จำต้องกระทำ เมื่อพิเคราะห์ถึงว่าจำเลยและนายบุญเพ็งอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในบ้านพัก จำเลยเป็นหญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าจึงอาจถูกนายบุญเพ็งข่มเหงเอาได้ตลอดเวลา ทั้งจำเลยเป็นชู้กับผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่นายบุญเพ็งสามีอาจฆ่าจำเลยเสียได้จริง และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย จะเห็นได้ว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพาจำเลยมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยร้องไห้และเล่าถึงเหตุที่ฆ่าผู้ตายให้ฟัง ทั้งผู้ตายยอมทำตามที่จำเลยชักชวนโดยไม่ระแวงสงสัย ชี้ให้เห็นว่าจำเลยร่วมฆ่าผู้ตายเพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจของนายบุญเพ็งซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ แต่การที่จำเลยถึงกับยอมร่วมมือกับนายบุญเพ็งฆ่าผู้ตาย ถือได้ว่ากระทำไปเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67(1),69 เมื่อพิเคราะห์ถึงว่าผู้ตายมีส่วนก่อเหตุอยู่ด้วยโดยมาติดพันจำเลยจนได้เสียเป็นชู้กันทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจำเลยมีครอบครัวอยู่แล้ว จึงเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมกับความผิด”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 83 ประกอบมาตรา 67(1), 69 ให้วางโทษจำคุก 20 ปี คำรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share