คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ได้ความว่าเป็นเช็คที่ออกให้เพื่อชำระหนี้เดิมซึ่งจำเลยกู้เงินโจทก์โดยมีดอกเบี้ยร้อยละสี่ต่อเดือนรวมอยู่ในจำนวนเงินที่ลงไว้ในเช็คนั้นด้วย ดอกเบี้ยทั้งหมดย่อมตกเป็นโมฆะ ผู้ให้กู้คงมีสิทธิเรียกร้องแต่เฉพาะต้นเงินเท่านั้น สัวนหนึ่งของนิติกรรมที่เป็นโมฆะ คือ การคิดดอกเบี้ยอันเป็นหนี้อุปกรณ์ในนิติกรรมกู้ยืมเท่านั้น แต่ต้นเงินอันเป็นหนี้ประธานยังสมบูรณ์อยู่ แยกออกจากกันได้ เช็คที่โจทก์นำมาฟ้องนี้เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นเป็นคนละอันกับนิติกรรมกู้ยืมคือ เมื่อกู้ยืมกันแล้วจำเลยออกเช็คเพื่อชำระเงินกู้ โจทก์ยอมรับเอาเช็คนั้นแทนการชำระการชำระหนี้โดยใช้เงินตามมาตรา 321 อันจะมีผลให้หนี้กู้ยืมเดิมระงับไปต่อเมื่อเช็คนี้ได้ใช้เงินแล้ว โจทก์มีสิทธิอาศัยเช็คนี้เป็นมูลฟ้องจำเลยได้ เป็นแต่จำเลยมีสิทธิยกข้อที่ว่าดอกเบี้ยเกินอัตราตกเป็นโมฆะขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ เมื่อจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์เกินกว่าที่ตนต้องผูกพันไป จำเลยก็ต้องรับผิดเพียงเท่าที่ต้องผูกพัน แต่จะไม่ยอมรับผิดตามเช็คเสียเลยหาได้ไม่ กรณีหาใช่เรื่องเช็คนี้ตกเป็นโมฆะทั้งหมดหรือบางส่วนไม่.
(ประชุมใหญ่ ครั้ง 7/2506)

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันได้ความว่าจำเลยยืมเงินโจทก์และนายจิตต์ ๑๘๐,๐๐๐ บาท เพื่อสร้างภาพยนต์ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ต่อเดือน จำเลยกู้ไปรวม ๕ งวดโดยได้รับเงินไปจริงเพียง ๑๒๕,๐๐๐ บาท แต่ได้ออกเช็คให้โจทก์เป็นเงิน ๑๕๗,๕๖๐ บาท ต่อมาจำเลยถูกตำรวจเชิญตัวไปพบเจ้าพนักงานแจ้งว่าผู้เสียหายนำเช็คไปแจ้งความ แล้วเจรจาให้จำเลยใช้เงินเสียครึ่งหนึ่งก่อนเพื่อจะได้เลิกคดีกัน พี่สาวจำเลยกับนางเราหินาวดีได้ชำระเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทให้ผู้เสียหาย ส่วนเงินอีก ๗๗,๕๖๐ บาทนั้น ผู้เสียหายให้จำเลยออกเช็ค ๓ ฉบับ แล้วโจทก์จึงคืนเช็ค ๕ ฉบับเดิมที่แจ้งความไว้ให้จำเลย เช็ค ๓ ฉบับดังกล่าวนั้น แต่ละฉบับได้คิดดอกเบี้ย ๑๐๐ ละ ๔ ต่อเดือนรวมเข้าไว้กับต้นเงินเข้าเป็นจำนวนเดียวกันดังจำนวนที่ปรากฎในเช็ค แล้วโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค ๓ ฉบับนั้น เป็นเงิน ๙๒,๖๙๕.๔๘ บาทกับดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ฟ้องเรียกคืนได้เฉพาะเงินต้น คือ หนี้เดิม ๑๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยชำระแล้ว ๘๐,๐๐๐ บาท คงค้างอีก ๔๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยใช้เงิน ๔๕,๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เรียกเงินตามเช็ค ซึ่งได้ความว่าเป็นเช็คออกให้เพื่อชำระหนี้เดิมซึ่งจำเลยกู้เงิน โดยมีดอกเบี้ยอัตราร้อยละสี่ต่อเดือน ฉะนั้น ดอกเบี้ยทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงคก์ในการเรียกดอกเบี้ยเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ ผู้ให้กู้คงมีสิทธิเรียกร้องแต่เฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนหนึ่งของนิติกรรมที่เป็นโมฆะ ก็คือ การคิดดอกเบี้ยอันเป็นหนี้อุปกรณ์ในนิติกรรมกู้ยืมเงินดังกล่าวเท่านั้น แต่ต้นเงินที่กู้ยืมไปอันเป็นหนี้ประธานยังสมบูรณ์แยกออกจากกันได้ ส่วนเช็คที่ฟ้องนี้เป็นตั๋วเงินอันเป็นนิติกรรมในลักษณะ ๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกอันหนึ่ง ซึ่งจำเลยมีคำสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินโดยจำเลยสัญญาแก่โจทก์ตามมาตรา ๙๑๔,๙๘๙ ว่าถ้าธนาคารไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้น จำเลยจะใช้เงินแก่ผู้ทรง คือ โจทก์ ตั๋วเงินนี้จึงเป็นนิติกรรมคนละอันกับนิติกรรมอันแรก คือ การกู้ยืม กล่าวคือ เมื่อกู้ยืมกันแล้ว ต่อมาจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ โจทก์ยอมรับเอาเช็คนั้นตามมาตรา ๓๒๑ แทนการชำระหนี้โดยใช้เงิน อันจะมีผลให้หนี้กู้ยิมเดิมระงับไปก็ต่อเมื่อเช็คนี้ได้ใช้เงินแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อดอกเบี้ยในการกู้ยืมเกินอัตราตกเป็นโมฆะ ทำให้เช็คตกเป็นโมฆะไปนั้น เป็นการนำเอาความไม่สมบูรณ์ในส่วนหนึ่งของนิติกรรมอันหนึ่งไปปนกับความสมบูรณ์ของนิติกรรมอีกอันหนึ่ง ไม่มีทางให้เข้าใจเช่นนั้น เช็คที่โจทก์นำมาฟ้องนี้สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์มีสิทธิอาศัยเช็คนี้เป็นมูลหนี้ฟ้องจำเลยได้ เป็นแต่ว่าในระหว่างโจทก์จำเลยด้วยกัน จำเลยมีข้อต่อสู้ระหว่างกันเองอย่างไรที่จะไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คทั้งหมดหรือบางส่วน จำเลยก็ยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยจึงยกเรื่องดอกเบี้ยเกินอัตราที่ตกเป็นโมฆะไปแล้วนั้นขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เกินกว่าที่ต้องผูกพัน ก็คงต้องรับผิดเพียงเท่าที่ต้องผูกพัน แต่จะไม่ยอมรับผิดตามเช็คเสียเลยหาได้ไม่ กรณีมิใช่เช็คที่นำมาฟ้องตกเป็นโมฆะทั้งหมดหรือบางส่วนดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน.

Share