แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลงลายมือชื่อของจำเลยเองในช่องผู้ถือบัตรในใบบันทึกรายการขาย เพื่อให้ ท. กับพวกและผู้อื่นหลงเชื่อว่าใบบันทึกการขายเป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องแท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ไม่สืบพยานจึงต้องฟังตามฟ้อง เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อของจำเลยเอง มิได้ลงลายมือชื่อของเจ้าของบัตรเครดิตก็ตาม แต่การลงลายมือชื่อของจำเลยดังกล่าวเท่ากับยืนยันว่าบันทึกการขายนั้น ทำโดยเจ้าของบัตรเครดิต ถือว่าจำเลยลงลายมือชื่อจำเลยโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นเจ้าของบัตรเครดิตเป็นผู้ลงลายมือชื่อที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิใบบันทึกการขายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (14), 33, 91, 264, 265, 268, 269/1, 269/4, 341 ให้จำเลยใช้หรือคืนราคาทรัพย์ 800 บาท แก่เจ้าของผู้มีสิทธิ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 269/4 วรรคแรก, 341 การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 269/4 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยเป็นผู้ปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์จึงให้ลงโทษตามมาตรา 269/4 วรรคแรก แต่กระทงเดียว ตามมาตรา 269/4 วรรคสามลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 800 บาท แก่เจ้าของ ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265, 341 การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่กระทงเดียว จำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 9 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อของจำเลยเองในช่องผู้ถือบัตรในใบบันทึกการขาย เพื่อให้นางทิพย์วรรณกับพวกและผู้อื่นหลงเชื่อว่าใบบันทึกการขายเป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องแท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ไม่สืบพยานจึงต้องฟังตามฟ้อง เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อของจำเลยเอง มิได้ลงลายมือชื่อของเจ้าของบัตรเครดิตก็ตาม แต่การลงลายมือชื่อของจำเลยดังกล่าวเท่ากับยืนยันว่าใบบันทึกการขายนั้น ทำโดยเจ้าของบัตรเครดิต ถือว่าจำเลยลงลายมือชื่อโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นเจ้าของบัตรเครดิตเป็นผู้ลงลายมือชื่อที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิใบบันทึกการขายแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3