คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8023/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากผู้ร้องเพียงกึ่งหนึ่งและยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ดังนี้ แม้ก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องนี้ ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดังกล่าวและคดีถึงที่สุดแล้ว แต่คำร้องนี้เป็นคำร้องคนละอย่างกับคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์การที่คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้องถึงที่สุดก็ไม่มีผลต่อสิทธิของผู้ร้องที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องนี้ เมื่อคำสั่งคำร้องนี้มิได้มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องจึงย่อมอุทธรณ์ได้
การขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวย่อมมีผลให้ตัวทรัพย์ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้หลุดพ้นจากการบังคับคดี และมิใช่เป็นเพียงขอรับการคุ้มครองจากการได้รับผลกระทบกระทั่งจากการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 แต่เป็นการดำเนินการที่มีผลอย่างเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288 นั่นเอง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน32,804 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง หมายเลขทะเบียน ป-1280 เพชรบูรณ์โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าวอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพียงผู้เดียว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เนื่องจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเป็นสินสมรส หากฟังว่าหนี้สินของจำเลยมีส่วนผูกพันสินสมรสผู้ร้องน่าจะรับผิดในหนี้สินเพียงกึ่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ร้องต้องไปดำเนินการในชั้นบังคับคดีต่อไปดังนั้น ผู้ร้องจึงขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งและขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมรับอ้างว่าไม่มีคำสั่งศาลและโจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้เพียงกึ่งหนึ่ง ผู้ร้องจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับชำระหนี้ดังกล่าวและยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับตามข้อเสนอของผู้ร้องผู้ร้องสามารถดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ได้ จึงให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ให้คืนค่าธรรมเนียม ศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากผู้ร้องเพียงกึ่งหนึ่งและยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6เห็นว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว และข้อกฎหมายที่ผู้ร้องกล่าวในอุทธรณ์ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่าแม้ก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องนี้ ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดังกล่าวและคดีถึงที่สุดแล้ว แต่คำร้องนี้เป็นคำร้องคนละอย่างกับคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ การที่คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้องถึงที่สุดก็ไม่มีผลต่อสิทธิของผู้ร้องที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องนี้และในเมื่อคำสั่งคำร้องนี้มิได้มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องจึงย่อมอุทธรณ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการสุดท้ายว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เพื่อขายทอดตลาดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องจึงมีกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์กึ่งหนึ่งซึ่งโจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากส่วนนี้ได้และหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยผูกพันสินสมรสเพียงกึ่งหนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์ก็หมดสิทธิที่จะบังคับคดีอีกต่อไป ผู้ร้องไม่จำต้องยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ก็ขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ได้ เป็นอุทธรณ์ข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า กรณีตามข้ออ้างของผู้ร้อง หากศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นพ้องด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมมีคำพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง อุทธรณ์ข้อกฎหมายของผู้ร้องจึงเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายข้อนี้เพราะเห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยใหม่ ปัญหาว่า ผู้ร้องในฐานะเป็นบุคคลซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นโดยการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งได้หรือไม่เห็นว่า การขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวย่อมมีผลให้ตัวทรัพย์ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้หลุดพ้นจากการบังคับคดีและมิใช่เป็นเพียงขอรับการคุ้มครองจากการได้รับผลกระทบกระทั่งจากการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 แต่เป็นการดำเนินการที่มีผลอย่างเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288 นั่นเอง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ร้องและบังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share