แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
อำนาจของศาลในการมีคำสั่งงดการบังคับคดีมิใช่มีได้เฉพาะเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอโดยอาศัยเหตุและเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 เท่านั้นหากมีกรณีอื่นใดที่เป็นการสมควรและไม่ก่อให้เกิดผลได้เสียแก่เจ้าหนี้และลูกหนี้ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลก็มีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีได้ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2)
โจทก์ถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดนนทบุรีเรียกเงินยืมจำนวน 460,062 บาท คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โจทก์นำเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่จำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นรายเดือน เดือนละ 7,000 บาท รวมเป็นเงิน 168,000 บาทแต่จำเลยยังไม่ได้รับเงินไปเพราะถือว่าโจทก์ผิดนัดและประสงค์จะรับชำระหนี้ทั้งหมด คดีนี้ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 182,000 บาท จำเลยมีหนังสือแจ้งขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ แม้คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรียังไม่ถึงที่สุดแต่โจทก์ก็ยอมรับว่ายืมเงินจำเลยไปตามฟ้อง เพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์มีสิทธิผ่อนชำระ และแม้โจทก์ยังไม่ต้องชำระหนี้ทั้งหมดแก่จำเลยแต่อย่างน้อยโจทก์ก็ต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระแก่จำเลยเป็นรายเดือน และยอดเงินที่โจทก์ต้องรับผิดแก่จำเลยมีจำนวนมากกว่าที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ในคดีนี้ ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)โดยมีคำสั่งงดการบังคับคดีนี้ไว้จนกว่าคดีแพ่งของศาลจังหวัดนนทบุรีจะถึงที่สุด หรือมีเหตุเปลี่ยนแปลงประการอื่นให้คู่ความแถลงเพื่อพิจารณาสั่งต่อไปนั้นชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยค่าชดเชย156,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 26,000 บาทรวมเป็นเงิน 182,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยทราบคำบังคับโดยชอบแล้วไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลแรงงานกลางจึงออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยตามคำขอของโจทก์
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4023/2542 ขอให้โจทก์ชำระหนี้เงินที่ยืมไปจากจำเลยเป็นเงิน 460,062 บาท ซึ่งโจทก์ก็ให้การยอมรับว่าเป็นหนี้จำเลยจริง แต่ขอผ่อนชำระเดือนละ 7,000 บาท แต่จำเลยไม่ยินยอมโจทก์จึงนำเงินไปวางทรัพย์ ณ สำนักงานวางทรัพย์ บัดนี้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแล้วแก่โจทก์ จำเลยจึงตกลงยินยอมให้โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่โจทก์ยืมเงินไปจากจำเลย เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์ยังค้างชำระแก่จำเลยอีก 278,062 บาท ทำให้หนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางหมดสิ้นไป จึงขอให้ศาลแรงงานกลางสั่งเพิกถอนการบังคับคดีหรือสั่งนัดพร้อมเพื่อให้คู่ความแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อไป
ศาลแรงงานกลางนัดพร้อม สอบข้อเท็จจริงแล้วได้ความตามคำรับของคู่ความว่า โจทก์ถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดนนทบุรี คดีหมายเลขดำที่ 4023/2542 เรียกเงินยืมจำนวน 460,062บาท คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนนทบุรี โจทก์นำเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นรายเดือน เดือนละ 7,000 บาท รวมเป็นเงิน 168,000 บาท แต่จำเลยยังไม่ได้รับเงินดังกล่าวไปเพราะถือว่าโจทก์ผิดนัดและประสงค์จะรับชำระหนี้ทั้งหมด ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้งดการบังคับคดีจำเลยไว้จนกว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4023/2542ของศาลจังหวัดนนทบุรีจะถึงที่สุด หรือมีเหตุเปลี่ยนแปลงประการอื่นให้คู่ความแถลงเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยขอให้เพิกถอนการบังคับคดี มิใช่ร้องขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 และเหตุที่จำเลยอ้างตามคำร้องก็มิใช่เหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292 และมาตรา 295 ในการที่ศาลจะสั่งให้งดหรือเพิกถอนการบังคับคดีได้นั้น เห็นว่า อำนาจของศาลในอันที่จะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีนั้นมิใช่จะมีได้แต่เฉพาะเมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอโดยอาศัยเหตุและเงื่อนไขดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 บัญญัติไว้เพียงกรณีเดียวเท่านั้นไม่หากมีกรณีอื่นใดที่เป็นการสมควรและไม่ก่อให้เกิดผลได้เสียแก่เจ้าหนี้และลูกหนี้ยิ่งหย่อนกว่ากัน ศาลก็มีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีได้ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) บัญญัติให้ไว้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า โจทก์ถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดนนทบุรีตามคดีหมายเลขดำที่ 4023/2542 เรียกเงินยืมจำนวน 460,062 บาทคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนนทบุรี โจทก์นำเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่จำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นรายเดือน เดือนละ 7,000 บาท รวมเป็นเงิน 168,000 บาทแต่จำเลยยังไม่ได้รับเงินดังกล่าวไปเพราะถือว่าโจทก์ผิดนัดและประสงค์จะรับชำระหนี้ทั้งหมด เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาในคดีนี้ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 182,000 บาท จำเลยจึงมีหนังสือแจ้งขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ ดังนั้น แม้คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด แต่โจทก์ก็ยอมรับว่ายืมเงินจำเลยไป460,062 บาท ตามฟ้อง เพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์มีสิทธิผ่อนชำระเดือนละ7,000 บาท ตามสัญญา แต่จำเลยต้องการให้โจทก์ชำระเงินที่ยืมไปทั้งหมด ดังนั้น ในคดีดังกล่าวหากโจทก์ยังไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ทั้งหมดแก่จำเลย อย่างน้อยโจทก์ก็ต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระแก่จำเลยเป็นรายเดือน เดือนละ 7,000 บาท และยอดเงินที่โจทก์ต้องรับผิดชำระแก่จำเลยมีจำนวนมากกว่าที่จำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ในคดีนี้ ที่ศาลแรงงานกลางใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) โดยมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4023/2542 ของศาลจังหวัดนนทบุรีจะถึงที่สุด หรือมีเหตุเปลี่ยนแปลงประการอื่นให้คู่ความแถลงเพื่อพิจารณาสั่งต่อไปนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน