แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริตมิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริต เมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดเป็นไปโดยชอบแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน ให้ยกคำร้อง เท่ากับเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง ซึ่งจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น เมื่อมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงตามมาตรา 147 วรรคสอง และมาตรา 229 การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับต่อมาในวันรุ่งขึ้นขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างเหตุเพิ่มเติมว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริต ก็ไม่มีผลลบล้างคำสั่งเดิมซึ่งเป็นที่สุดไปแล้ว จึงสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 152 ให้แก่โจทก์ 1 ใน 6 ส่วน เป็นเนื้อที่13 ตารางวา และแบ่งตึกแถวเลขที่ 38 และ 40 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ 7 ใน 8 ส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนและให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์เสร็จ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 152 ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมืองกาญจนบุรีจังหวัดกาญจนบุรี ออกให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตำรวจโทยงยุทธ สมานบุตร 1 ใน 6 ส่วน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งตึกแถวเลขที่ 38 และ 40 ซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ในฐานะส่วนตัว 4 ใน 16 ส่วน ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตำรวจโทยงยุทธ สมานบุตร 3 ใน 16 ส่วน และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะส่วนตัวเดือนละ 2,000 บาท ในฐานะผู้จัดการมรดกดังกล่าวเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น หากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้แบ่งกัน โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเพื่อให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ถึงวันนัดพร้อม จำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 แล้วและอยู่ระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับการแบ่งปันมรดก ศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้ ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดที่ดินและตึกแถวพิพาทออกขายทอดตลาดศาลชั้นต้นนัดพร้อมอีก ถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาล โจทก์แถลงว่าไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินและตึกแถวพิพาทขายทอดตลาด ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทรายนี้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2535ได้เงินทั้งสิ้น 5,600,000 บาท โดยขายที่ดินได้ 3,100,000 บาทและขายตึกแถวได้ 2,500,000 บาท จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่29 มิถุนายน 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเสีย ศาลชั้นต้นสั่งว่าพิเคราะห์แล้วตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริต มิได้กล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด เมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายนี้อีกโดยอ้างว่า ราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายไปต่ำกว่าราคาท้องตลาดซึ่งมีราคาไม่น้อยกว่า8,000,000 บาท ผู้เข้าสู้ราคาสมคบกันกดราคาให้ต่ำกว่าเป็นจริงและอ้างเหตุเพิ่มเติมว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริต รู้อยู่แล้วว่าผู้เข้าสู้ราคาสมคบกันกดราคาก็ยังขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่ผู้ประมูลได้โดยมีพฤติการณ์ช่วยเหลือกัน และขอให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างการวินิจฉัยชี้ขาดของศาล
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ระหว่างการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลว่าศาลยกคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด จึงไม่จำต้องงดการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่ามีเหตุที่จะให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายไปแล้วหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2535 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามคำร้องผู้ร้องอ้างว่าผู้เสนอราคาสมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริตมิได้กล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด เมื่อการดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน ให้ยกคำร้องคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเท่ากับเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองซึ่งจำเลยที่ 2 ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง และมาตรา 229 การที่จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 30 มิถุนายน 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างเหตุเพิ่มเติมว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์โดยไม่สุจริต และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ก็หาได้มีผลลบล้างคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดคดีตามคำร้องฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2535 ซึ่งเป็นที่สุดไปแล้วแต่ประการใดไม่คดีจึงไม่อาจที่จะให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและตึกแถวพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายไปแล้วได้ เมื่อความปรากฏเช่นนี้ซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา”
พิพากษายืน