แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในการตรวจอุทธรณ์ที่จำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้นศาลชั้นต้นอาจตรวจทั้งในข้อที่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224,230 รวมตลอดทั้งตรวจอุทธรณ์ เพื่อปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นในเหตุอื่นตามมาตรา 230 วรรคสอง และมาตรา 232 ด้วย.
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 232แล้วมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง สั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้อุทธรณ์ไม่วางเงินและหาประกันมาวางเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้ตามคำพิพากษาให้ส่งอุทธรณ์ไปศาลอุทธรณ์ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 234 บัญญัติว่าให้ผู้อุทธรณ์นำค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่ไม่ปฏิบัติศาลอุทธรณ์จึงถือว่าคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นชอบแล้วจำเลยจะฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่าจำเลยไม่จำต้องนำเงินหรือหาประกันตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 13,109 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมจำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้อุทธรณ์คำสั่งไม่วางเงินและหาประกันมาวาง เพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้ตามคำพิพากษา จึงใช้ส่งอุทธรณ์ไปศาลอุทธรณ์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับอุทธรณ์ โดยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ชัดแจ้งในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 และศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามเพื่อดำเนินการต่อไปนั้นคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย เป็นการยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งนี้เป็นที่สุดฎีกาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จึงไม่รับฎีกาคำสั่งนี้
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาคำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236วรรคแรก แต่เป็นคำสั่งเรื่องกรณีเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลตามมาตรา 234 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นที่สุด จึงให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้ดำเนินการต่อไป
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยทั้งสามฎีกาคำสั่งอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่จำต้องนำเงินหรือหาประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 นั้น เห็นว่าในการตรวจอุทธรณ์ที่จำเลยทั้งสามยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นอาจตรวจทั้งในข้อที่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224, 230 รวมตลอดทั้งตรวจอุทธรณ์ เพื่อปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นในเหตุอื่นตามมาตรา 230 วรรคสอง และมาตรา 232 ด้วยคดีนี้ ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 แล้วมีคำสั่งครั้งแรกว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับอุทธรณ์จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้อุทธรณ์ไม่วางเงินและหาประกันมาวางเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้ตามคำพิพากษาให้ส่งอุทธรณ์ไปศาลอุทธรณ์ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามมาตรา 234 บัญญัติว่า “ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ฯลฯ” เพราะฉะนั้นจำเลยทั้งสามจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติ ศาลอุทธรณ์จึงถือว่าคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นชอบแล้ว จำเลยทั้งสามจะฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่าจำเลยทั้งสามไม่จำต้องนำเงินหรือหาประกันตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ คำสั่งศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว…”
พิพากษายืน