คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมณสถานพินิจและคุ้มครองเด็กโดยอาศัยอำนาจตามความในบทบัญญัติมาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้มิใช่การพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ก็เป็นการสั่งใช้วิธีการที่เบากว่าโทษจำคุกจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 218 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้กำหนดระยะเวลาที่จะให้จำเลยไปอยู่ฝึกและอบรม จำเลยกลับฎีกาอ้างเหตุมาว่า ถูกคุมขังในระหว่างอุทธรณ์มาเกินกำหนดระยะเวลาแล้ว ถือว่าเป็นการลงโทษและจำเลยได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่า ขังมาพอกับโทษและให้ปล่อยตัวไป เช่นนี้เท่ากับจำเลยฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลและขอให้เปลี่ยนจากใช้วิธีการที่เบากว่าโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาเป็นการลงโทษและกำหนดโทษใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ จำเลยอายุยังไม่เกิน ๑๗ ปี ยังไม่สมควรพิพากษาลงโทษ ให้ส่งตัวไปฝึกและอบรม ณ สถานฝึกและอบรมของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมา จนกว่าจำเลยจะมีอายุครบ๑๘ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ประกอบด้วยมาตรา ๗๔
จำเลยอุทธรณ์ขอให้สั่งเรียกบิดา มารดาหรือผู้ปกครองจำเลยมาว่ากล่าวตักเตือนให้ดูแลระวังหรือทำทัณฑ์บนไว้กับศาล งดส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นให้ส่งตัวไปฝึกอบรมมีกำหนด ๑ ปี
จำเลยฎีกาขอให้หักวันที่จำเลยต้องขังระหว่างอุทธรณ์เป็นเวลาเกิน ๑ ปี พอกับโทษตามคำพิพากษาแล้ว และขอให้ปล่อยตัวจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ฯลฯ คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร แต่ยังไม่สมควรพิพากษาลงโทษ จึงให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรม ณ สถานฝึกและอบรมสถานพินิจและคุ้มครองเด็กเป็นแต่ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้กำหนดระยะเวลาที่ให้จำเลยไปอยู่ฝึกและอบรมจาก จนกว่าจำเลยจะมีอายุครบ ๑๘ ปีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาเป็นให้ไปอยู่ ๑ ปี การที่ศาลพิพากษาสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมณ สถานฝึกอบรมสถานพินิจและคุ้มครองเด็กโดยอาศัยอำนาจตามความในบทบัญญัติมาตรา ๗๕ ประกอบด้วยมาตรา ๗๔ แห่งประมวลกฎหมายอาญาเช่นในคดีนี้ แม้มิใช่การพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ก็เป็นการสั่งใช้วิธีการที่เบากว่าโทษจำคุก จึงต้องอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๒๑๘ ดังกล่าวด้วยจำเลยฎีกาอ้างเหตุมาว่า จำเลยถูกคุมขังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์เกิน ๑ ปีแล้วจำเลยถือว่าเป็นการลงโทษและจำเลยได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลยขังมาพอกับโทษและให้ปล่อยตัวจำเลยเท่ากับจำเลยฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาล และขอให้เปลี่ยนจากใช้วิธีการที่เบากว่าโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาเป็นการลงโทษและกำหนดโทษเสียใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share