คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ขอแบ่งทรัพย์มรดก แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล และศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่า โจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการแต่งตั้งทนายความ และในการที่ทนายความไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวในคดีก่อน สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ ดังนี้ ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ มิใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องมีใจความว่า คดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องผู้มีชื่อและโจทก์คดีนี้ เป็นจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกของนายบั้ด แล้วโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์มรดกกันในศาล และศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ความจริงโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการแต่งตั้งทนายความโจทก์ และในการที่ทนายความโจทก์ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยดังกล่าว โจทก์เพียงแต่ไปพบทนายจำเลยเสนอว่าจะแบ่งที่ดินทนายจำเลยได้ให้โจทก์ทั้งสามพิมพ์ลายนิ้วมือและลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์ โดยโจทก์ไม่ทราบว่าเป็นแบบพิมพ์อะไร ฝ่ายจำเลยกลับนำแบบพิมพ์ดังกล่าวแล้วไปให้นายไสวเป็นทนายให้โจทก์ โดยโจทก์ก็ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย แล้วโจทก์แอบอ้างโดยไม่สุจริตให้นายไสวหลงเชื่อว่าโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยดังกล่าว ที่โจทก์ได้พิมพ์ลายมือและลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลในชั้นบังคับคดีก็เพราะเสมียนหน้าบัลลังก์ได้นำรายงานมาให้นอกห้องพิจารณา โดยฝ่ายจำเลยแจ้งว่าจะไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินกันตามที่โจทก์ตกลงจะแบ่งให้นางหย๊ะจำเลยที่ ๒ โจทก์หลงเชื่อจึงได้พิมพ์มือและลงชื่อให้ไป โจทก์ถือว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัครของโจทก์ คำพิพากษาตามยอมก็ต้องเสียเปล่าด้วย ต่อมาจำเลยได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปแย่งการครอบครองที่ดินแปลงที่ ๖ ซึ่งเป็นของโจทก์ที่ ๔ อ้างว่าเป็นของจำเลยตามคำพิพากษาของศาล ขอศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีก่อน และขอศาลพิพากษาว่าที่ดินแปลงที่ ๖ เป็นของโจทก์ที่ ๔ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๔ ด้วย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อน โจทก์ได้แต่งทนายโดยชอบแล้ว จึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล การที่ทนายความของจำเลยในคดีก่อนกระทำลงไปจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ศาลได้พิพากษาตามที่ตกลงกัน สัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล การที่ทนายความของจำเลยในคดีก่อนกระทำลงไปจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ศาลได้พิพากษาตามที่ตกลงกัน สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจึงชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นโมฆะ จำเลยและทนายจำเลยไม่มีส่วนในการให้โจทก์ลงชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือในแบบใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เคยนำแบบพิมพ์ใด ๆ เพื่อนำไปให้นายไสวเป็นทนายโจทก์ และที่ดินแปลงที่ ๖ ได้ตกเป็นของจำเลยที่ ๓ ตามผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเกินความจริง คดีที่โจทก์ฟ้องมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คู่ความจะรื้อร้องฟ้องอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ได้ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้กับคดีเดิมเป็นเรื่องเดียวกันประเด็นอย่างเดียวกัน คู่ความรายเดียวกัน และคดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ส่วนโจทก์ที่ ๔ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่มีสิทธิจะฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีก่อน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่ ๔ ที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้โจทก์และจำเลยทั้งสองคดีจะเป็นชุดเดียวกันซึ่งถือได้ว่าเป็นคู่ความเดียวกัน และคดีแพ่งเรื่องก่อนนั้นจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้หาใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยไว้โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่ แม้ว่ามูลกรณีของคดีทั้งสองสำนวนจะเป็นเรื่องเดียวกันเพราะคู่ความทั้งสองคดีต่างอ้างสิทธิในทรัพย์มรดกของนายบั้ดหรือหมัดด้วยกัน แต่ในคดีก่อนเป็นการพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิในการรับมรดกโดยตรง ส่วนในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างขึ้นมาว่าโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการแต่งตั้งทนายความและในการที่ทนายความไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในคดีเรื่องก่อน ซึ่งถ้าหากเป็นความจริงตามข้ออ้างของฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนก็จะไม่มีผลผูกพันโจทก็และคำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนก็จะไม่มีผลบังคับไปด้วย ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีเรื่องก่อน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งทนายความและอำนาจของทนายความในคดีก่อน แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายของทั้งสองคดีเป็นคู่ความเดียวกัน และมูลกรณีของคดีทั้งสองก็เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งคู่ความทั้งสองคดีต่างอ้างสิทธิในทรัพย์มรดกของนายบั้ดหรือหมัดด้วยกัน แต่ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๑/๒๕๑๙ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๓/๒๕๑๙ พิพาทกันด้วยสิทธิในการรับมรดกโดยตรง ส่วนคดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการแต่งตั้งทนายความและในการที่ทนายความไปทำสัญญาประนีประนอมความกับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๑/๒๕๑๙ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๓/๒๕๑๙ ซึ่งถ้าหากเป็นความจริงตามที่โจทก์คดีนี้กล่าวอ้างแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๑/๒๕๑๙ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๓/๒๕๑๙ ก็จะไม่มีผลผูกพันโจทก์และคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวก็จะไม่มีผลบังคับไปด้วย ดังนั้น ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้กับประเด็นที่จะต้งอวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๑๑/๒๕๑๙ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๓/๒๕๑๙ จึงมิใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
พิพากษายืน

Share