คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีล้มละลายนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ย่อมมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และเมื่อไม่มีการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษา ก็ย่อมไม่มีเหตุใดที่จะต้องรอการประชุมเจ้าหนี้ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด.

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดไปแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลว่า เจ้าหนี้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย แต่คดีอยู่ระหว่างจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นจึงยังไม่มีคำพิพากษา ครั้นศาลฎีกาพิพากษายืน คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานอีกว่า มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายมิได้เปลี่ยนแปลง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖๑
จำเลยทั้งสามุอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖๑ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าเจ้าหนี้ลงมติขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ฯลฯ ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ฯลฯ ที่จำเลยฎีกาว่า การประชุมเจ้าหนี้ต้องทำภายหลังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถึงที่สุดแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว คำสั่งนั้นย่อมมีผลบังคับได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ และไม่มีทุเลาการบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุใดที่จะต้องรอการประชุมเจ้าหนี้ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยทั้งสาม.

Share