แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นประมูลจะส่งไม้สักให้โจทก์ ๆ ได้ตกลงตามใบประมูลนั้นแล้ว แต่ในใบประมูลของจำเลยก็ดี ในคำสนองรับของโจทก์ก็ดี มีข้อความแสดงว่าโจทก์จำเลยยังจะต้องทำสัญญาซื้อขายกันตามธรรมเนียมอีกดังนี้ ตราบใดที่ยังมิได้ทำสัญญาซื้อขายกันจะเรียกว่าได้มีสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยอันสมบูรณ์แล้วหาได้ไม่ “กรณีเป็นที่สงสัย” ตามความในมาตรา 366 หรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงเมื่อจำเลยทำคำให้การต่อสู้คดีบรรยายข้อความเข้าในบทกฏหมายมาตราใดแล้ว แม้มิได้อ้างบทมาตรานั้นมาด้วยก็ดี ศาลก็มีอำนาจหยิบยกเอามาตรานั้นขึ้นมาเป็นบทวินิจฉัยได้ไม่เป็นการผิดวิธีพิจารณา (ดูฏีกาที่ 931/2480)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยผิดสัญญาส่งไม้ทำให้โจทก์ต้องไปซื้อจากผู้อื่นแพงกว่าที่จำเลยตกลงไว้ ๗๑๒.๒๑ บาท โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้
ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ได้ประกาศเรียกประมูลส่งไม้สัก ตามใบประมูลไม้ซึ่งเป็นคำเสนอฝ่ายจำเลยถึงโจทก์เป็นแบบพิมพ์ของโจทก์เอง มีข้อความว่าผู้ยื่นราคาต้องว่างมัดจำในเวลายื่นประมูล ๑๐ บาท และเมื่อประมูลได้ต้องทำสัญญาซื้อขายโดยมีเงินวางมัดจำ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของราคาไม้ครั้นจำเลยส่งใบประมูลไปยังโจทก์แล้วโจทก์ได้มีหนังสือตอบมาว่าได้ตกลงรับซื้อแล้วของเชิญมาทำสัญญาซื้อขายตามธรรมเนียม แต่จำเลยไม่มาทำนสัญญากับโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามหลักฐานเหล่านี้แสดงว่าโจทก์จำเลยยังจะต้องทำสัญญาเป็นหนังสือและวางมัดจำกันอีกชั้นหนึ่ง ตราบใด ที่ยังมิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและยังมิได้วางเงินมัดจำจะเรียกว่าได้มีสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยอันสมบูรณ์แล้วมิได้โจทก์ได้แต่จะริบเงิน ๑๐ บาทที่วางไว้ในการประมูลเท่านั้น เทียบฏีกาที่๙๓๑/๒๔๘๑จึงพิพากษายืนตามศาลขั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลาฏีกาตัดสินว่าคดีนี้โจทก์ฎีกาได้แต่ข้อกฎหมาย ตามฎีกาข้อ ๑ ของโจทก์ที่กล่าวว่าศาลอุทธรณืไม่มีอำนาจยกประมวลแพ่ง ฯ ม.๓๖๖ ขึ้นวินิจฉัยเพราะคู่ความมิโต้เถึยงกันมาแต่ศาลขั้นต้น และศาลขั้นต้นสั่งไม่รับคำให้การเพิ่มเติมนั้นเห็นว่า เมื่อพิจารณาดูคำให้การเดิมของจำเลยจะเห็นว่าจำเลยได้ต่อสู้ตามความใน ม.๓๖๖ นั่นเอง กล่าวคือจำเลยเถียงว่าสัญญายังไม่เกิดเพราะยังมิได้ไปทำเป็นหนังสือและวางเงินมัดจำ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของราคาไม้ แต่หากจำเลยมิได้อ้าง ม.๓๖๖ มาด้วยเท่านั้น ศาลอุทธรณ์จึงหยิบยกมาตรานี้มาวินิจฉัยได้ ไม่ผิดกระบวนพิจารณา ส่วนฎีกาข้อ ๒ ที่ว่าตาม ม.๓๖๖ จะถือว่ายังไม่มีสัญญาต่อกันก็ต่อเมื่อกรณีเป็นที่สงสัย เห็นว่ากรณีเป็นที่สงสัยหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาต้องถือตาม ในคดีนี้ไม่มีเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่า คู่สัญญามิได้มีเจตนาจะถือว่าการทำหนังสือเป็นข้อสำคัญ ฉะนั้นตราบใดที่ยังมิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและยังมิได้วางเงินมัดจำ จะเรียกว่ามีสัญญาซื้อขายระหว่างกันหาได้ไม่ จึงพิพากษายืนตามให้แก่โจทก์