คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 799/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่า จำเลยต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 300 วันถ้าเกินกำหนดจำเลยต้องเสียค่าปรับให้แก่โจทก์วันละ2,640 บาท แต่ค่าปรับดังกล่าวคือค่าเสียหายที่โจทก์จำเลยตกลงกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์เมื่อปฏิบัติผิดสัญญา จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับแม้มีข้อตกลงกันไว้แต่ก็มิได้บังคับโดยเด็ดขาดว่าจำนวนเบี้ยปรับจะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลชอบที่จะยกบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องลดเบี้ยปรับมาใช้บังคับแก่คดีโดยลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ อันเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2521 กรมสามัญศึกษาได้ทำสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยทำการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนนาสาร รวมทั้งสิ่งของสัมภาระและค่าแรงเป็นเงิน1,584,000 บาท ซึ่งจะต้องแล้วเสร็จบริบูรณ์และส่งมอบกรมสามัญศึกษาภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2522 จำเลยได้ทำงานตามสัญญาตั้งแต่งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 3 แล้วเสร็จและได้รับเงินค่างวดดังกล่าวไปแล้ว แต่ทิ้งงานงวดที่ 4 และงวดที่ 5กรมสามัญศึกษาจึงบอกเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2523ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2523 ได้มีพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารโรงเรียนประชาบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและโรงเรียนประถมศึกษาของกรมสามัญศึกษากระทรวงศึกษาธิการไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2523 ซึ่งมาตรา 6 และมาตรา 13แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สินหนี้และเงินงบประมาณส่วนที่เป็นเงินอุดหนุนงบประถมศึกษาขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลไปเป็นของโจทก์ ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน 2524 โจทก์มีหนังสือยืนยันการบอกเลิกสัญญากับจำเลย และจำเลยได้ทราบแล้วการที่จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องว่าจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อไปและได้รับมอบอาคารเรียนโรงเรียนนาสารล่าช้าไปถึง 721 วันซึ่งจำเลยจะต้องเสียค่าปรับแก่โจทก์วันละ 2,640, บาท รวมเป็นเงิน 1,903,440 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน1,903,440 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่จำเลยไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้อีกเนื่องจากประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก วัสดุก่อสร้างขึ้นราคา จึงเป็นเหตุสุดวิสัย ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัดสาขาบ้านนาสาร ผู้ค้ำประกันสัญญาได้ชำระเงินค่าประกันสัญญาจำนวน 79,200 บาท ให้แก่กรมสามัญศึกษาแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอีกโจทก์ไม่มีสิทธิปรับจำเลยเพราะจำเลยไม่ได้ทำงานก่อสร้างต่อไป และไม่ได้ยอมให้ปรับแต่อย่างใดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 721,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2525 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2521 กรมสามัญศึกษาได้ทำสัญญาจ้างจำเลยให้ทำการก่อสร้างอาคารโรงเรียนนาสาร อำเภอบ้านนาสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามหนังสือสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2โดยตกลงให้จำเลยก่อสร้างอาคารเรียนรวมทั้งสิ่งของสัมภาระและค่าแรงเป็นเงิน 1,584,000 บาท ซึ่งต้องแล้วเสร็จบริบูรณ์และส่งมอบแก่กรมสามัญศึกษาภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2522จำเลยได้ดำเนินการก่อสร้างเพียง 3 งวด และรับเงินตามสัญญางวดดังกล่าวไปแล้ว จากนั้นก็ละทิ้งงานไปกรมสามัญศึกษาจึงใช้สิทธิเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2523 แล้วว่าจ้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกิดผลก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างงานที่เหลือต่อไป ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2523 ได้มีพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารโรงเรียนประชาบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและโรงเรียนประถมศึกษาของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2523 ตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งมีผลให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้ และเงินงบประมาณของกรมสามัญศึกษาในส่วนเกี่ยวกับโรงเรียนประถมศึกษาไปเป็นของโจทก์ ครั้นวันที่ 12 มิถุนายน 2524 โจทก์จึงมีหนังสือยืนยันการบอกเลิกสัญญาและเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาจากจำเลยตามเอกสารหมาย ป.จ.2 ในส่วนงานที่จำเลยละทิ้งในงวดที่ 4และที่ 5 ห้างหุ้นส่วนจำกัดเกิดผลก่อสร้างได้ดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จและส่งมอบให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเพียงใดที่โจทก์ฎีกาว่าตามสัญญาจ้างข้อ 5 จำเลยต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 300 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 25 กรกฎาคม 2522การที่จำเลยละทิ้งงานโจทก์ต้องจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดเกิดผลก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับมอบอาคารโรงเรียนนาสารล่าช้าไปถึง 721 วัน จำเลยจึงต้องเสียค่าปรับให้แก่โจทก์วันละ 2,640 บาท ตามที่ตกลงยินยอมรับผิดเอาไว้ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างข้อ 6 แล้ว เห็นว่า แม้จะระบุในสัญญาจ้างว่า เมื่อจำเลยไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในกำหนดจำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวัน วันละ 2,640 บาท แต่ค่าปรับดังกล่าวคือค่าเสียหายที่โจทก์จำเลยตกลงกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์เมื่อปฏิบัติผิดสัญญา จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แม้มีข้อตกลงกันไว้ แต่มิได้บังคับโดยเด็ดขาดว่าจำนวนเบี้ยปรับจะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลชอบที่จะยกบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องลดเบี้ยปรับมาใช้บังคับแก่คดีโดยลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ อันเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 จากข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาพิเคราะห์ประกอบกับข้อสัญญาและเหตุผลทั่วไปที่ได้ความแล้ว ความเสียหายของโจทก์เกิดจากการที่ต้องจ้างผู้อื่นก่อสร้างอาคารโรงเรียนต่อไปและทำให้งานเสร็จล่าช้าไป721 วัน มิได้มีพฤติการณ์พิเศษอย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเบี้ยปรับใหม่ให้แก่โจทก์วันละ 1,000 บาท จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share