แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินและบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขาย ทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขายกรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ร้องต่อเมื่อผู้ร้องได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ขายแล้ว เมื่อผู้ร้องได้ชำระเงินส่วนใหญ่และจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทจากผู้ขายภายหลังที่ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้ว ต้องถือว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 43799 เนื้อที่ 19 ตารางวาเศษ พร้อมบ้านเลขที่ 420/305 ซึ่งเจ้าพนักงานอ้างว่าเป็นสินสมรสของจำเลยและนางสมใจ ศุภพยัคฆ์หรือแสงคำ นางสมใจ แสงคำ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ที่ดินและบ้านดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ผู้เดียว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนการยึด
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และโจทก์ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะร้องขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินและบ้านพิพาทได้ มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องฎีกาว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง มิใช่สินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่เพียงผู้เดียวทางพิจารณาได้ความว่าผู้ร้องได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทราคา 199,000 บาท จากบริษัทผู้ขายตามเอกสารหมาย ร.2 เมื่อวันที่20 มิถุนายน 2521 โดยผู้ซื้อต้องวางมัดจำและชำระราคารวม 2 งวดเป็นเงินรวม 30,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 169,000 บาท ผู้ซื้อต้องชำระให้ผู้ขายในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องเบิกความว่า ได้ชวนจำเลยไปด้วย และจำเลยลงชื่อเป็นพยานในสัญญา ต่อมาผู้ร้องได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2522และผู้ร้องได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทจากผู้ขายเมื่อเดือนเมษายน 2522 แม้จะรับฟังว่าเงินวางมัดจำและเงินค่าที่ดินและบ้านรวม 30,000 บาท เป็นเงินส่วนตัวของผู้ร้องแต่ผู้ร้องก็ได้ชำระเงินค่าที่ดินและบ้านจำนวน 169,000 บาทซึ่งเป็นเงินส่วนใหญ่และจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทจากผู้ขายภายหลังจากที่ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้วที่ดินและบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ผู้ร้อง แต่ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่ดินและบ้านจำนวน 169,000 บาท ซึ่งเป็นเงินกรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ร้องต่อเมื่อผู้ร้องได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ขายแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้ร้องได้ชำระเงินส่วนใหญ่และจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทจากผู้ขายภายหลังที่ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้ว ต้องถือว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาในระหว่างสมรสกับจำเลย จึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(4)ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ร้องมีอยู่ก่อนสมรสอันจะเป็นสินส่วนตัวซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว…คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน