คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7982/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นทันทึกไว้ โจทก์ได้ระบุการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดโดยบรรยายว่าจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์โดยไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งได้อ้างพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11, 60 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ารัฐมนตรีผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ต้องมีและแสดงเครื่องหมายดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ถือว่าฟ้องของโจทก์ขาดข้อความสำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวีธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2545 เวลากลางวันจำเลยซึ่งไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถได้ขับรถจักรยานยนต์ หมายเลยทะเบียน ขพฉ สข 280 โดยไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และขับแข่งกับพวกที่หลบหนีไปตามถนนเพชรเกษมซึ่งเป็นทางตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก รถจักรยานยนต์ที่แข่งกันมีประมาณ 100 คัน จำเลยกับพวกต่างขับแซงกันโดยประมาทน่าหวาดเสียวด้วยความเร็วสูง โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้แข่งรถในทางได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 134, 160, 160 ทวิ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11, 60, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 46, 91 ริบของกลาง สั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราวของจำเลย และให้ใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยโดยเรียกประกันทัณฑ์บนแก่จำเลยด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134, 160, 160 ทวิ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2527 (ที่ถูก 2522) มาตรา 11, 60, 64 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแข่งรถในทาง จำคุก 2 เดือน ฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น จำคุก 1 เดือน ฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 800 บาท และฐานขับรถโดยไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 3 เดือนและปรับ 2,800 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน และปรับ 1,400 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) (8), 134 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ความผิดฐานแข่งรถในทางกับความผิดฐานขับรถโดยประมาทและโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ความผิดฐานแข่งรถในทางกับฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิดฐานขับรถโดยประมาทนั้นมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานแข่งรถในทาง เมื่อรวมโทษในความผิดฐานนี้ที่ให้จำคุก 2 เดือน กับโทษในความผิดฐานขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ให้ปรับ 800 บาท รวมจำคุก 2 เดือน และปรับ 800 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 400 บาท ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไม่ได้บรรยายว่ารัฐมนตรีผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ต้องมีและแสดงเครื่องหมายดังกล่าวแล้วตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ทำให้ฟ้องของโจทก์ในข้อหานี้ขาดข้อความสำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ในการฟ้องคดีด้วยวาจานั้น บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์และเป็นหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาเพื่อสะดวกที่ศาลจะบันทึกลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้น โดยโจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงฐานความผิดการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี รวมทั้งมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 วรรคสอง เพื่อให้ศาลบันทึกใจความไว้เป็นหลักฐานและมีคำพิพากษาต่อไป เมื่อพิเคราะห์บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์และคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ก็ปรากฎว่าโจทก์ได้ระบุฐานความผิดในข้อหาใช้รถไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไว้ด้วย นอกจากนั้นได้ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่อย่างครบถ้วน รวมทั้งการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดโดยบรรยายว่าจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์คันที่กล่าวในฟ้องโดยไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งได้อ้างพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11, 60 ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดในคำขอท้ายฟ้องด้วย แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ารัฐมนตรีผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ต้องมีและแสดงเครื่องหมายดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ถือว่าฟ้องของโจทก์ขาดข้อความสำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัย ทั้งถ้อยคำที่ว่าอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายก็มีความหมายซึ่งแสดงโดยปริยายว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎกระทรวงดังกล่าวด้วย เมื่อศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้ฟัง จำเลยก็ให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาทั้งหมดดีแล้วจึงถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องได้ชัดเจนเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด ฟ้องของโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 9 อีก เพราะจำเลยให้การรับสารภาพแล้ว”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานไม่ติดเครื่องหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11, 60 อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษปรับ 2,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 1,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share