คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่ออ่านฟ้องของโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้อง ฟ้องของมาตรา172 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(8), 526,1108(2) โจทก์เป็นอันชัดแจ้งว่าเงินที่โจทก์เรียกร้องเป็นค่าใช้จ่ายในกิจการที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทจำเลย
ซึ่งที่ประชุมจัดตั้งบริษัทจำเลยได้ให้สัตยาบันแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
สิทธิเรียกร้องเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป ซึ่งมีอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(8) นั้นหมายถึงค่าที่ผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคลได้ออกทดรองไปเกี่ยวกับงานที่จ้างเท่านั้น
สิทธิเรียกร้องอันเนื่องมาจากที่ประชุมตั้งบริษัทจำเลยให้สัตยาบันในค่าใช้จ่ายที่ผู้เริ่มก่อการได้ออกไปในการก่อตั้งบริษัทจำเลยซึ่งไม่เกี่ยวกับการจ้าง โจทก์ไม่มีฐานะเป็นผู้รับจ้างของบริษัทจำเลยจะนำอายุความมาตรา 165(8) มาใช้บังคับไม่ได้
เงินที่บริษัทจำเลยให้สัตยาบันหรืออนุมัติให้โจทก์ เป็นการใช้เพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเสียไปในการก่อตั้งบริษัทจำเลย หาใช่เป็นการให้เปล่าหรือโดยเสน่หาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิม นางเอื้อนจิตต์ ฉั่วประยูร กับพวก ตกลงให้โจทก์ติดต่อกับทางราชการเพื่อให้นางเอื้อนจิตต์กับพวกได้รับอนุญาตผลิตสุราเกาเหลียงในประเทศไทย โดยจะจ่ายเงินตอบแทนให้โจทก์ 800,000 บาท ปรากฏตามสำเนาสัญญาจ้างหมายเลข 1 ท้ายฟ้อง เมื่อทางการอนุญาตแล้ว ขอให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทจำกัดขึ้น เมื่อได้จดทะเบียนบริษัทนั้นแล้วจะพิจารณาให้สัตยาบันแก่กิจการที่ผู้เริ่มก่อการได้กระทำไป รวมทั้งให้เงินเป็นค่าใช้จ่าย ในการที่โจทก์เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทได้สำเร็จและกิจการอื่น ๆ แก่โจทก์อีกส่วนหนึ่งเป็นเงิน 100,000 บาท

โจทก์ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำการติดต่อดำเนินการเพื่อให้ได้รับอนุญาตตั้งโรงงานผลิตสุราเกาเหลียงในประเทศไทย จนสำนักนายกรัฐมนตรีอนุมัติให้นางเอื้อนจิตต์ตั้งโรงงานดังกล่าวได้ จากนั้นโจทก์ได้ดำเนินการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิดำเนินการประชุมตั้งบริษัท แล้วนำไปจดทะเบียน โดยโจทก์เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท

ในการประชุมตั้งบริษัท ที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้สัตยาบันจ่ายเงินให้โจทก์ 100,000 บาท ตามสำเนาเอกสารหมายเลข 5 ท้ายฟ้องโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้ จำเลยก็ไม่ใช้ จึงขอให้จำเลยชำระเงิน100,000 บาท กับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2507 ซึ่งเป็นวันจำเลยผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงินอีก 23,583.33 บาท กับให้ใช้ดอกเบี้ยในต้นเงิน 100,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ

บริษัทจำเลยที่ 1 ให้การว่า ในการประชุมตั้งบริษัทจำเลยที่ 1เอกสารหมายเลข 5 เป็นเท็จ ที่ประชุมมิได้พิจารณาตกลงเกี่ยวกับการให้เงินสมณาคุณแก่โจทก์ 100,000 บาท แต่อนุมัติให้เงินค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 361,655 บาท ซึ่งบริษัทจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเสร็จสิ้นไปแล้วฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่บรรยายให้ชัดว่าเงินที่เรียกร้องเป็นค่าใช้จ่ายให้โจทก์ทดรองจ่ายไปหรือเป็นเงินสมณาคุณที่จำเลยได้ให้โดยเสน่หา หากเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้ทดรองไปก็ขาดอายุความแล้ว หากเป็นการสมณาคุณก็เป็นการให้โดยเสน่หามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง จำเลยไม่ได้ผิดนัด

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว

วันชี้สองสถาน โจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บริษัทจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2508 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทวงถามตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ ให้บริษัทจำเลยที่ 1 เสียค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความ 1,500 บาทแทนโจทก์ เฉพาะตัวจำเลยที่ 2 แม้โจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดี แต่โจทก์ก็มิได้ถอนฟ้อง ให้ยกฟ้องของโจทก์เสีย ค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความเป็นพับ

บริษัทจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ และขอให้วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมคดีขาดอายุความ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความพิพากษายืน ให้บริษัทจำเลยใช้ค่าทนายความ 1,000 บาทแก่โจทก์

บริษัทจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์มีใจความสำคัญว่าโจทก์เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทจำเลยด้วยผู้หนึ่ง ในการประชุมตั้งบริษัท ที่ประชุมได้ลงมติให้สัตยาบันแก่กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปและให้จ่ายเงินแก่โจทก์ 100,000 บาท ตามสำเนารายงานการประชุมหมายเลข 4 และสำเนาบัญชีรายละเอียดค่าใช้จ่ายหมายเลข 5 ท้ายฟ้อง เอกสารหมาย จ.6 ท้ายฟ้อง ข้อ 6, 4 มีใจความว่า ที่ประชุมได้ให้สัตยาบันค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการตั้งบริษัทตามบัญชีรายละเอียดซึ่งได้ส่งให้ผู้ถือหุ้นดูแล้ว และเอกสารหมาย จ.7 ท้ายฟ้องรายการที่ 1 ว่า สมณาคุณค่าใช้จ่ายแก่นายสงวน จรณะหุตเป็นเงิน 100,000 บาท เมื่ออ่านฟ้องของโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ก็เป็นอันชัดแจ้งว่าเงินที่โจทก์เรียกร้องเป็นค่าใช้จ่ายในกิจการที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทจำเลย ซึ่งที่ประชุมจัดตั้งบริษัทจำเลยได้ให้สัตยาบันแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมดังฎีกาของบริษัทจำเลยไม่

สิทธิเรียกร้องเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปซึ่งมีอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(8) นั้น หมายถึงค่าที่ผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคล ได้ออกทดรองไปเกี่ยวกับหน้าที่รับจ้างเท่านั้น แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องอันเนื่องมาจากที่ประชุมตั้งบริษัทให้สัตยาบันในค่าใช้จ่ายที่ผู้เริ่มก่อการได้ออกไปในการก่อตั้งบริษัทจำเลย ซึ่งไม่เกี่ยวกับการจ้างแต่อย่างใด โจทก์ผู้เริ่มก่อการก็ไม่มีฐานะเป็นผู้รับจ้างของบริษัทจำเลย จะนำเอาอายุความตามบทมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้

การที่ที่ประชุมตั้งบริษัทจำเลยให้สัตยาบันหรืออนุมัติให้ใช้เงินแก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องนั้น เป็นการใช้เพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องเสียไปในการเริ่มก่อตั้งบริษัทจำเลยซึ่งผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอามาจากบริษัทนั้นได้ ในเมื่อที่ประชุมตั้งบริษัทได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1108(2) แล้ว หาใช่เป็นการให้เปล่าหรือให้โดยเสน่หาไม่ จะนำมาตรา 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้บังคับไม่ได้

พิพากษายืน ให้บริษัทจำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,200 บาทแก่โจทก์ด้วย

Share