แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475มาตรา 24 บัญญัติให้เจ้าพนักงานเก็บภาษีแจ้งรายการประเมินมีรายการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 3 ประการ คือ ประเภทแห่งทรัพย์สิน ค่ารายปีแห่งทรัพย์สิน และค่าภาษีที่จะต้องเสียไปให้ผู้รับประเมินทราบ และตามใบแจ้งรายการประเมินที่โจทก์ได้รับมีข้อความระบุว่าทรัพย์สินเป็นคลังน้ำมันเอสโซ่ สาขาสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่เลขที่ 63 หมู่ที่ 4ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีค่ารายปีเป็นเงิน 1,875,600 บาท และค่าภาษีเป็นเงิน234,450 บาท ดังนั้นใบแจ้งรายการประเมินดังกล่าวเป็นการแจ้งรวม เจ้าพนักงานได้แจ้งรายการทรัพย์สินของโจทก์ว่าเป็นคลังน้ำมันซึ่งเป็นประเภทสิ่งปลูกสร้างต้องถูกจัดเก็บภาษีตามมาตรา 24 ประกอบด้วยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ครบถ้วนชัดเจนแล้ว หาจำต้องระบุรายละเอียดแยกแต่ละรายการของประเภททรัพย์สินที่จะต้องถูกจัดเก็บไม่ ทั้งนี้ ในแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2539ของโจทก์ ก็ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรือนและที่ดินที่จะต้องชำระภาษีไว้ครบถ้วน โจทก์ก็ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าใบแจ้งรายการประเมินที่เจ้าพนักงานแจ้งให้โจทก์ทราบเป็นการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินตามแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์ได้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนั่นเอง ซึ่งโจทก์เข้าใจดีอยู่แล้วดังนั้น ใบแจ้งรายการประเมินของเจ้าพนักงานเก็บภาษีของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนใบแจ้งรายการประเมิน เล่มที่ 2เลขที่ 41 ลงวันที่ 10 กันยายน 2539 และใบแจ้งคำชี้ขาดเล่มที่ 1 เลขที่ 1 ลงเดือนพฤศจิกายน 2539 (ไม่ได้ลงวันที่)และให้คิดค่ารายปีเป็นเงิน 634,800 บาท และค่าภาษี 79,350 บาทกับให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษี 155,100 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การประเมินภาษีและคำชี้ขาดของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน155,100 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้ประกอบกิจการเป็นที่ตั้งคลังน้ำมัน โจทก์ได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2539 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กำหนดค่ารายปีเป็นเงิน 1,875,600 บาทและภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นเงิน 234,450 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ มีคำชี้ขาดเห็นด้วยกับการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า ใบแจ้งรายการประเมินตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 6 มีรายการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 24 หรือไม่ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 24บัญญัติว่า “เมื่อได้ไต่สวนตรวจรแล้วให้เป็นหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะกำหนด
(ก) ประเภทแห่งทรัพย์สินตามมาตรา 6
(ข) ค่ารายปีแห่งทรัพย์สิน
(ค) ค่าภาษีที่จะต้องเสียให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งรายการตามที่ได้กำหนดไว้นั้นไปยังพนักงานเก็บภาษี ให้เจ้าพนักงานเก็บภาษีแจ้งรายการประเมินไปให้ผู้รับประเมินทรัพย์สินในท้องที่ของตนทราบโดยมิชักช้า” บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้เจ้าพนักงานเก็บภาษีแจ้งรายการประเมินมีรายการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 3 ประการ คือ ประเภทแห่งทรัพย์สิน ค่ารายปีแห่งทรัพย์สินและค่าภาษีที่จะต้องเสีย ไปให้ผู้รับประเมินทราบเมื่อพิเคราะห์ใบแจ้งรายการประเมินที่โจทก์ได้รับตามเอกสารหมายจ.1 แผ่นที่ 6 มีข้อความระบุว่า ทรัพย์สินเป็นคลังน้ำมันเอสโซ่สาขาสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่เลขที่ 63 หมู่ที่ 4 ตำบลบางกุ้งอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีค่ารายปีเป็นเงิน 1,875,600 บาท และค่าภาษีเป็นเงิน 234,450 บาทเห็นได้ว่า ใบแจ้งรายการประเมินดังกล่าวเป็นการแจ้งรวมเจ้าพนักงานได้แจ้งรายการทรัพย์สินของโจทก์ว่าเป็นคลังน้ำมันซึ่งเป็นประเภทสิ่งปลูกสร้างต้องถูกจัดเก็บภาษีตามมาตรา 24ประกอบด้วยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 ครบถ้วนชัดเจนแล้ว หาจำต้องระบุรายละเอียดแยกแต่ละรายการของประเภททรัพย์สินที่จะต้องถูกจัดเก็บภาษีดังที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยไม่ ทั้งนี้ ในแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2539 ของโจทก์ ก็ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรือนและที่ดินที่จะต้องชำระภาษีไว้ครบถ้วน โจทก์ก็ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าใบแจ้งรายการประเมินที่เจ้าพนักงานแจ้งให้โจทก์ทราบ เป็นการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินตามแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์ได้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 นั่นเอง ซึ่งโจทก์เข้าใจดีอยู่แล้ว ดังนั้น ใบแจ้งรายการประเมินของเจ้าพนักงานเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
แต่เนื่องจากศาลภาษีอากรกลางยังไม่ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่าการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3และคำชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตาม แต่เห็นว่าเพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลล่างอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการอุทธรณ์ของคู่ความ เห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาปัญหาดังกล่าว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาที่ว่าให้จำเลยที่ 1 คืนเงิน 234,450 บาท แก่โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพากษาว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่และคำชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพียงใดต่อไปตามรูปคดี