คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ขณะที่คนขับรถยนต์คันที่บริษัทโจทก์รับประกันภัยไว้ขับรถแซงรถคันหน้าขึ้นไปแล้วกลับเข้ามาในช่องเดินรถเดิม จำเลยซึ่งขับรถอยู่ห่างจากรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ทางด้านหลัง ย่อมมองเห็นตลอดเวลาและควรใช้ความระมัดระวังชะลอความเร็วของรถลงเนื่องจากเป็นเวลาหลังฝนตกถนนลื่น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ การที่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล่นกลับเข้ามาในช่องเดินรถเดิมและอยู่ห่างรถยนต์ที่จำเลยขับประมาณ2 เมตร แต่จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทัน เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนท้ายรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายประมาทยิ่งกว่าคนขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายสองในสามส่วนให้แก่โจทก์ที่รับช่วงสิทธิมาจากผู้เอาประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 ฬ – 0887กรุงเทพมหานคร จากนายวรวุฒิ อังชวาลา มีอายุการคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน2538 ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2539 เวลา 14.10 นาฬิกาจำเลยขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน น – 7668 ชุมพร ไปตามถนนเพชรเกษมจากทางจังหวัดชุมพร โฉมหน้าไปทางกรุงเทพมหานคร ตามหลังรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เมื่อถึงหมู่ที่ 5 ตำบลทรัพย์อนันต์ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่เว้นระยะห่างพอจะหยุดรถได้ทัน เมื่อคนขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยชะลอความเร็วและหยุดรถ เนื่องจากรถยนต์ด้านหน้าจอดติดอยู่ จำเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทันเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยพุ่งชนท้ายรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้อย่างแรง จนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้พุ่งชนท้ายรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ด้านหน้า รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายไม่สามารถขับเคลื่อนได้ต้องเสียค่ายกและลากเป็นเงิน3,000 บาท ต่อมาโจทก์จัดการซ่อมแซมและส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายวรวุฒิเรียบร้อยแล้ว โดยเสียค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 398,566 บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระเงินเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน416,566 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 401,566 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า สาเหตุที่รถยนต์ของจำเลยชนท้ายรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ด้วย โดยเมื่อถึงที่เกิดเหตุคนขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้หยุดรถอย่างกะทันหัน จำเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ประกอบกับฝนตกถนนลื่นจึงเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยชนท้ายรถยนต์คันดังกล่าว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาไม่ได้เกิดจากถูกรถยนต์ของจำเลยชนเท่านั้น เพราะต่อมารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถยนต์คันอื่นชนซ้ำ ค่าเสียหายจึงสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 242,316.02 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 207,255.64 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2539เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน 9 ฬ – 0887กรุงเทพมหานคร มีอายุการคุ้มครอง 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2538 ถึงวันที่ 9พฤศจิกายน 2539 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2539 จำเลยขับรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียนน – 7668 ชุมพร ไปตามถนนเพชรเกษมจากทางจังหวัดชุมพรโฉมหน้าไปทางกรุงเทพมหานคร ตามหลังรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ที่แล่นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อรถยนต์ทั้งสองคันแล่นมาถึงบริเวณหมู่ที่ 5 ตำบลทรัพย์อนันต์ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร จำเลยขับรถด้วยความประมาทชนท้ายรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพและยินยอมให้เปรียบเทียบปรับโจทก์ดำเนินการซ่อมรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้และจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ไปเมื่อวันที่ 3ตุลาคม 2539 และรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายเป็นเงิน310,883.46 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายสองในสามส่วนชอบหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า คนขับรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ขับรถแซงรถคันหน้า ขณะนั้นรถยนต์ซึ่งจำเลยขับอยู่ห่างรถยนต์คันซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ประมาณ 2 เมตร จำเลยห้ามล้อรถแล้วแต่รถไม่หยุด เนื่องจากเป็นเวลาหลังฝนตกถนนลื่น รถยนต์คันที่จำเลยขับจึงชนท้ายรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้นั้นเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ขณะที่รถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้แล่นแซงรถคันหน้าขึ้นไป แล้วกลับเข้ามาในช่องเดินรถเดิม จำเลยย่อมมองเห็นตลอดเวลาและควรใช้ความระมัดระวังชะลอความเร็วของรถลงเนื่องจากเป็นเวลาหลังฝนตกถนนลื่นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ การที่รถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้แล่นกลับเข้ามาในช่องเดินรถเดิม และอยู่ห่างรถยนต์ซึ่งจำเลยขับประมาณ2 เมตร แต่จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดได้ทัน เป็นเหตุให้รถยนต์ซึ่งจำเลยขับชนท้ายรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังดังกล่าว ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายประมาทยิ่งกว่าคนขับรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share