แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นนิติบุคคลและเป็นสถาบันทางการศึกษาที่ก่อตั้งโดยอาศัยความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันแห่งเอเซียอาคเนย์ ตามกฎบัตรของจำเลยกำหนดวัตถุประสงค์ว่าเพื่อการดำเนินการสถาบันเทคโนโลยีทั้งภายในและนอกประเทศบนมูลฐานของการไม่แบ่งสรรกำไร ซึ่งรวมทั้งดำเนินกิจการวิทยาลัย โรงเรียน และองค์กรวิจัยที่มีความสัมพันธ์กับสถาบัน โดยการสอนศึกษาและวิจัยในวิชาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ ซึ่งนอกจากจำเลยจะมีวัตถุประสงค์กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่ามิได้มุ่งแสวงหากำไรแล้ว ยังปรากฏด้วยว่าการดำเนินกิจการของจำเลยก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว จำเลยจึงเป็นสถาบันซึ่งจ้างลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ (3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน ๔๕๘,๙๑๐ บาท นับแต่ผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ห้องสมุดในสถาบันจำเลยอันเป็นงานปกติ มิใช่โครงการเฉพาะของจำเลย แม้จะกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ. ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และวรรคสี่ แต่จำเลยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ เข้ากรณีตาม กฎกระทรวง ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๑ ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ. ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งมิให้นำบทบัญญัติ มาตรา ๑๑๘ ว่าด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างมาบังคับแก่นายจ้างซึ่งลูกจ้างทำงานมิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ อีกทั้งก่อนเลิกจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตามสัญญาจ้างฉบับสุดท้ายที่มีกำหนดเวลาจ้าง ๒ ปี และจำเลยเลิกจ้างเมื่อครบกำหนด ๒ ปี ตามสัญญา จึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ พิพากษาฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ ข้อ ๒.๑ ว่า จำเลยเป็นสถาบันซึ่งจ้างลูกจ้างทำงานที่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจหรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลและเป็นสถาบันทางการศึกษาที่ก่อตั้งโดยอาศัยความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การสนธิสัญญาการป้องกันแห่งเอเชียอาคเนย์ ตามกฎบัตรของจำเลยกำหนดวัตถุประสงค์ว่าเพื่อการดำเนินกิจการสถาบันเทคโนโลยีทั้งภายในและนอกประเทศไทยบนมูลฐานของการไม่แบ่งสรรกำไร ซึ่งรวมทั้งดำเนินกิจการวิทยาลัย โรงเรียน และองค์กรวิจัยที่มีความสัมพันธ์กับสถาบันโดยการสอนศึกษา และวิจัยในวิชาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ แม้การที่จำเลยรับทำการวิจัยให้แก่ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นหน่วยงานหรือองค์การอื่น ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายเงินให้จำเลยตามจำนวนที่จำเลยคำนวณเป็นงบประมาณในการทำการวิจัยก็ตาม แต่งบประมาณดังกล่าวแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของสถาบันจำเลย เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ ที่เหลือเป็นค่าจ้างอาจารย์ผู้ทำการวิจัย นักศึกษา รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการวิจัย เช่นค่าใช่จ่ายในการเดินทางและค่าอุปกรณ์ในการวิจัย หากยังมีเงินเหลืออยู่อีกผู้ว่าจ้างก็สามารถรับคืนไปได้หรือจะบริจาคเข้ากองทุนวิจัยของจำเลย ซึ่งเป็นกองทุนที่จะนำเงินไปใช้เฉพาะที่เกี่ยวกับงานวิจัยของจำเลยเท่านั้น แสดงว่า นอกจากจำเลยจะมีวัตถุประสงค์กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่ามิได้มุ่งแสวงหากำไรแล้ว ยังปรากฏด้วยว่าการดำเนินการของจำเลยก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว จำเลยจึงเป็นสถาบันซึ่งจ้างลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ. ศ. ๒๕๔๑ ในเรื่องค่าชดเชย ตามกฎกระทรวง (พ. ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ฉบับลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๑ ข้อ (๓) จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน