คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7923/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่เพียงใด ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ จึงไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความจะต้องนำสืบ
แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่จำเลยสามารถยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น แต่ข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยมิชอบ จำเลยจึงไม่อาจอ้างข้อเท็จจริงนี้นำมาสู่ข้อกฎหมาย เพื่อยกขึ้นอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมโรงเรือนเลขที่ 252/2 กับโจทก์ อัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท มิได้กำหนดระยะเวลาการเช่ากันไว้ ต่อมาเดือนธันวาคม 2538 โจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินพร้อมโรงเรือนดังกล่าว จึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไป แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยทำให้โจทก์ขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 15,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์ที่เช่าและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์ที่เช่า

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากมิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่า ที่ดินพิพาทมีความกว้าง ยาว กี่เมตร แต่ละด้านจดที่ดินของผู้ใดจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินและโรงเรือนพิพาทโดยได้ครอบครองและทำประโยชน์มาเกือบ 20 ปีแล้ว จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญา เช่าที่ดินพร้อมโรงเรือนพิพาทกับโจทก์ ลายมือชื่อผู้เช่ามิใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองค่าขาดประโยชน์มีจริงก็ไม่เกินเดือนละ 200 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและโรงเรือนเลขที่ 252/2 หมู่ที่ 6 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่เพียงใด ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่จึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความจะต้องนำสืบ เป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (1) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น แต่ข้อกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยมิชอบจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างข้อเท็จจริงนี้นำมาสู่ข้อกฎหมายเพื่อยกขึ้นอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องได้ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ เนื่องจากยังมีประเด็นอื่นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มิได้วินิจฉัย สมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยตามลำดับชั้นศาล

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5วินิจฉัยประเด็นอื่นตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share