คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7691/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันของกลางได้ให้ส.เช่าซื้อต่อมาส.ผิดสัญญาผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแต่ยังไม่ได้รับรถยนต์คืนในระหว่างนั้นจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของส. นำรถยนต์ไปกระทำความผิดจึงถูกจับดำเนินคดีแต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่ริบรถยนต์คันของกลางผู้ร้องได้รับรถยนต์คืนจากส. แล้วนำไปขายให้ว. ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ริบรถยนต์คันของกลางผู้ร้องจึงมาร้องขอคืนรถยนต์คันของกลางดังนี้ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางดังนี้ขณะที่ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางผู้ร้องได้ขายรถยนต์ให้แก่ว.ไปแล้วผู้ร้องจึงมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์คันของกลางในขณะที่ยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา36ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์คันของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 295 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน 15 วันเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ส่วนคำขอให้ริบรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80 – 1547 สมุทรสงคราม ของกลางไม่มีเหตุสมควรให้ริบ จึงยกคำขอในส่วนนี้ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบรถยนต์คันของกลางศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์คันของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80 – 1547 สมุทรสงคราม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งริบผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดขอให้สั่งคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางไต่สวนผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องมีวัตถุประสงค์ในการให้เช่าซื้อรถยนต์ ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80 – 1547สมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2528 นายสำรวย เที่ยงตรง ได้ทำสัญญาเช่าซื้อไปจากผู้ร้อง หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อนายสำรวยได้นำรถยนต์คันดังกล่าวใช้ที่จังหวัดนนทบุรีแล้วขาดส่งค่าเช่าซื้อ ผู้ร้องจึงได้บอกเลิกสัญญา แต่ผู้ร้องยังไม่ได้รับรถยนต์คืนจากนายสำรวยจนกระทั่งนายมนัส น้อยตัน จำเลย ซึ่งเป็นลูกจ้างของนายสำรวยนำรถยนต์คันนั้นไปบรรทุกของหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจนถูกดำเนินคดี และถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ส่วนรถยนต์คันของกลางศาลชั้นต้นสั่งไม่ริบ ผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลย ต่อมานายสำรวยได้นำหลักฐานการเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันของกลางไปติดต่อขอรับรถคืนจากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด พนักงานสอบสวนได้มอบรถยนต์คันของกลางให้นายสำรวยเป็นผู้เก็บรักษาไว้ชั่วคราว ผู้ร้องได้รับรถยนต์คันของกลางคืนจากนายสำรวยและได้ขายให้แก่นางวันดี ขัตติยากรจรูญ ไปแล้วตั้งแต่วันที่7 ธันวาคม 2532
โจทก์นำสืบว่า รถยนต์บรรทุกคันของกลางจดทะเบียนเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 โดยมีนายสำรวย เที่ยงตรง เป็นผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม 2532 ผู้ร้องจึงมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงดังกล่าวให้แก่นางวันดี ขัตติยากรจรูญ และมีการแจ้งย้ายของรถยนต์คันของกลางในขณะที่ยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์คันของกลางอีกต่อไปที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องเสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share