คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นฝ่ายด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายจำเลยจำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์ เห็นได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ จึงไม่เป็นการป้องกัน เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้ จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ 4.5เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่า แผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตร แต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ แผลที่ใบหน้าดังกล่าวยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จำเลยให้การว่า จำเลยกระทำไปโดยป้องกันตัว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามฟ้อง ลดโทษแล้ว คงจำคุก 6 เดือน โจทก์สำนวนแรกและจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบหรือไม่ และสภาพแผลเป็นที่ใบหน้าของโจทก์ที่ 1ทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นอันตรายสาหัสอันจะทำให้จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยเป็นฝ่ายด่าโจทก์ที่ 1 ก่อน เมื่อโจทก์ที่ 1 จะเข้ามาทำร้ายจำเลย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์ที่ 1ดังนี้เห็นได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน การที่จำเลยทำร้ายโจทก์ที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกัน ส่วนปัญหาเรื่องแผลบนใบหน้าของโจทก์ที่ 1 นั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า แผลที่หางคิ้วซ้ายของโจทก์ที่ 1 ยาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็มนายแพทย์มโนชญ์ สุวรรณศรี ผู้ตรวจรักษาบาดแผลโจทก์ที่ 1 ว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตร แต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ยังมิได้ฟังว่าบาดแผลของโจทก์ที่ 1 กว้างเท่าใด ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาจึงยังไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งปรากฏจากภาพถ่ายใบหน้าของโจทก์ที่ 1 หมาย จ.6 ว่า แผลที่คิ้วซ้ายของโจทก์ที่ 1 เป็นเพียงรอยขีดไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ แผลที่ใบหน้าของโจทก์ที่ 1 ยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส คงเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 3 เดือน

Share