แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานรีดเอาทรัพย์และฉ้อโกง โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกรวม 4 คนได้ข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ ธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาน่าน ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยการขู่และหลอกลวงดังกล่าวทำให้โจทก์จำต้องทำเอกสารสิทธิคือหนังสือรับสภาพหนี้ 1 ฉบับ รับว่าจะชำระเงินให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาน่าน จำนวน 80,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ความลับซึ่งการเปิดเผยจะทำให้โจทก์เสียหายนั้นเป็นความลับเรื่องใดหาปรากฏไม่ และที่กล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกง หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งนั้น ข้อความใดเป็นความเท็จและความจริงเป็นอย่างไรก็มิได้ปรากฏในคำบรรยายฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุมไม่บรรยายมาพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
การอุทธรณ์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้นต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือก. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2523 เวลากลางวันจำเลยกับพวกรวม 4 คนได้ข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาน่านได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งเกิดเปิดเผยนั้นจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการขู่และหลอกลวงดังกล่าวทำให้โจทก์จำต้องทำเอกสารสิทธิคือหนังสือรับสภาพหนี้ 1 ฉบับ รับว่าจะชำระเงินให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาน่านจำนวน 80,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ข. เมื่อวันที่ 1 เมษายน2523 เวลากลางวัน จำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าโจทก์ทำการฉ้อโกงธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาน่าน จำนวน 80,000 บาท ด้วยการปลอมแปลงการ์ดบัญชีออมทรัพย์ และสมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ปรากฏตามบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีลงวันที่ 1 เมษายน 2523 ท้ายฟ้อง ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะโจทก์มิได้กระทำผิดหรือร่วมกับผู้ใดกระทำผิดดังอ้าง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 338 และมาตรา 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า จำเลยมิได้ขู่โจทก์ฟ้องโจทก์ฐานรีดเอาทรัพย์และฉ้อโกงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบ ความที่จำเลยแจ้งไม่เป็นเท็จฟ้องโจทก์ไม่มีความผิดทางอาญา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาประการแรกว่าฟ้องของโจทก์ในข้อหาความผิดฐานรีดเอาทรัพย์และฉ้อโกงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หรือไม่ ตามฟ้องของโจทก์ที่กล่าวหาว่าจำเลยรีดเอาทรัพย์โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยจะทำให้โจทก์เสียหายนั้น เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ความลับซึ่งการเปิดเผยจะทำให้โจทก์เสียหายนั้น เป็นความลับเรื่องใดโจทก์หาได้บรรยายให้ปรากฏไม่ และที่กล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งนั้น ข้อความใดที่เป็นความเท็จและความจริงเป็นอย่างไรก็มิได้ปรากฏตามคำบรรยายฟ้องเช่นกันฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม ไม่บรรยายมาพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 158(5) ชอบแล้ว
ปัญหาที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในกระทงความเท็จฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172ชอบด้วยวิธีพิจารณาหรือไม่ เห็นว่าความผิดตามมาตรานี้มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษาว่าคดีไม่มีมูล โจทก์คงมีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา ทั้งนี้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 วรรคแรก ฉะนั้นเมื่ออุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องด้วยข้อห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภาค 4 อุทธรณ์ฎีกา ลักษณะ 1 อุทธรณ์หมวด 1 หลักทั่วไป มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3 นั้นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน