แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยแถลงรับกันว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในบ้านพิพาท และตกลงกันได้แล้วว่าจะแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยให้บ้านพิพาทตกเป็นของจำเลย แล้วชำระราคาบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งตามฟ้อง คงมีปัญหาเฉพาะเรื่องราคาบ้านพิพาทซึ่งจำเลยยังไม่ยอมรับราคาตามที่โจทก์ฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและพิพากษาให้นำบ้านพิพาทออกขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลย หากไม่สามารถตกลงกันได้ให้นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการแบ่งกรณีเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไร จึงไม่ชอบ แม้จำเลยจะไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานก็ตาม แต่กรณีเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ มิใช่ประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้ จึงเห็นควรให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท ซึ่งเป็นราคาทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ส่วนบ้านพิพาทที่ปลูกในที่ดินเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาจึงเป็นกรรมสิทธิ์รวมที่ต่างมีสิทธิตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้ขายบ้านไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 9 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 7758 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โดยให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลย หากไม่สามารถตกลงกันได้ให้นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันฟังยุติว่า โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์และจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์รับว่าที่ดิน 5 แปลงตามฟ้องเป็นที่ดินของฝ่ายจำเลย ส่วนบ้านที่ก่อสร้างลงบนที่ดินแปลงหนึ่งของจำเลยเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยหามาได้ร่วมกัน บ้านหลังดังกล่าวโจทก์ตีราคาเฉพาะตัวบ้านราคา 3,000,000 บาท ส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งจึงคิดเป็นเงิน 1,500,000 บาท จำเลยปฏิเสธว่าราคาบ้านไม่ถึง 3,000,000 บาท ส่วนของโจทก์จึงไม่ควรได้ถึง 1,500,000 บาท ศาลชั้นต้นจึงชี้สองสถานและกำหนดประเด็นพิพาทว่า โจทก์มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมเป็นเงิน 1,500,000 บาท หรือไม่ ประเด็นดังกล่าวโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยให้การปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ ให้โจทก์นำสืบก่อนแล้วจำเลยนำสืบแก้ วันรุ่งขึ้นศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งชี้สองสถานและมีคำสั่งนัดฟังคำพิพากษา แล้วต่อมาได้มีคำพิพากษาให้นำบ้านพิพาทออกประมูลราคากันระหว่างโจทก์กับจำเลย หากไม่สามารถตกลงกันได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเนื่องจากเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและมีคำพิพากษาไปนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในเบื้องต้นจะต้องแบ่งไปตามความประสงค์หรือความตกลงของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หากเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไร และการแบ่งโดยเอาทรัพย์สินออกแบ่งไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมาก ศาลจึงจะมีคำพิพากษาให้แบ่งไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1364 วรรคสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยวิธีชำระราคาบ้านพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,500,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธว่าบ้านพิพาทมิใช่ทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของรวมกัน ต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมที่ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิตามกฎหมาย โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องอื่นตามฟ้องทั้งหมดคงเหลือประเด็นพิพาทในเรื่องราคาบ้านพิพาทซึ่งจำเลยเห็นว่าราคาบ้านไม่ถึงจำนวนที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น ศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีสิทธิ์ขอแบ่งทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมเป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท หรือไม่ และทั้งสองฝ่ายยังแถลงต่อศาลชั้นต้นด้วยว่า แต่ละฝ่ายมีช่างที่จะทำการประเมินราคาบ้านพร้อมจะมาเบิกความฝ่ายละ 1 ปาก ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 ดังนี้ เป็นกรณีที่เห็นได้ชัดว่าโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในบ้านพิพาทสามารถตกลงกันได้แล้วว่าจะแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยให้บ้านพิพาทตกเป็นของจำเลย แล้วชำระราคาบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งตามฟ้องโจทก์ คงมีปัญหาเฉพาะเรื่องราคาบ้านพิพาทซึ่งจำเลยยังไม่ยอมรับตามราคาที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคสอง ที่ศาลจะพิพากษาให้นำบ้านพิพาทออกขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลย หากไม่สามารถตกลงกันได้ให้นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการแบ่งกรณีเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไร เมื่อโจทก์และจำเลยยังคงมีปัญหาเรื่องราคาบ้านพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ศาลชั้นต้นจึงควรสืบพยานตามประเด็นดังกล่าวให้สิ้นกระแสความเสียก่อนแล้วจึงแบ่งราคาบ้านพิพาทที่สืบได้ความดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งตามที่คู่ความตกลงกัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามนั้นจึงเป็นกรณีที่ศาลล่างทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยคำพิพากษาและการพิจารณา จึงต้องยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองแล้วย้อนสำนวนกลับไปดำเนินการให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานก็ตาม แต่กรณีเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ มิใช่ประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้ ศาลฎีกาจึงเห็นควรให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวเสียใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2552 แล้วมีคำพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่