แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้าน และศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง
แม้คดีก่อนซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 227/2546 กับคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ แต่การวินิจฉัยเรื่องฟ้องซ้อนจะต้องพิจารณาว่าโจทก์ฟ้องในมูลคดีอันเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่เป็นสำคัญ คำฟ้องคดีก่อนเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทำลายรั้วอิฐบล็อกของโจทก์แล้วก่อสร้างรั้วอิฐบล็อกขึ้นใหม่รุกล้ำเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อถอนรั้วดังกล่าวออกไปจากเขตที่ดินและเรียกค่าเสียหาย ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง โดยโจทก์กล่าวอ้างว่า ขณะคดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาเกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดรั้วอิฐบล็อกที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำที่ดินโจทก์พังทลาย ต่อมาจำเลยตัดฟันต้นมะพร้าวของโจทก์ แล้วก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นใหม่โดยบางส่วนของอาคารรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ ดังนี้ แม้หากจะถือว่าจำเลยยังคงยึดถือที่ดินบริเวณที่พิพาทกับโจทก์ต่อเนื่องมาก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในภายหลังนั้น โจทก์ย่อมไม่มีทางที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารและชดใช้ราคาต้นมะพร้าวขณะยื่นฟ้องคดีก่อนได้ ทั้งค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์เรียกร้องมาในคดีนี้ก็เป็นคนละส่วนกับคดีก่อน การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขึ้นใหม่ จึงไม่อาจถือว่าเป็นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ส่วนการที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีก่อนโดยกล่าวถึงการก่อสร้างอาคารจำเลยและขอให้สั่งระงับการก่อสร้างไว้ก่อนนั้น ก็มิใช่การยื่นคำฟ้อง จึงไม่อาจนำมาเป็นเหตุถือว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนดังที่จำเลยอ้างมาในคำแก้อุทธรณ์ได้
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อนแล้ว จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยต่อไป อุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้าย ป.วิ.พ. ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำเขตที่ดินของโจทก์ โดยเว้นระยะห่างจากเขตที่ดินของโจทก์ไม่น้อยกว่า 2 เมตร ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายรวม 369,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีก
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วสั่งให้ทำแผนที่พิพาท ต่อมาในวันนัดตรวจรับรองแผนที่พิพาท ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย และนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 227/2546 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายพร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตแต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้าน และศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 227/2546 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีก่อนซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 227/2546 กับคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย แต่การวินิจฉัยเรื่องฟ้องซ้อนจะต้องพิจารณาว่าโจทก์ฟ้องในมูลคดีอันเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่เป็นสำคัญ คำฟ้องคดีก่อนเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทำลายรั้วอิฐบล็อกของโจทก์แล้วก่อสร้างรั้วอิฐบล็อกขึ้นใหม่รุกล้ำเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อถอนรั้วดังกล่าวออกไปจากเขตที่ดินและเรียกค่าเสียหาย ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง โดยโจทก์กล่าวอ้างว่า ขณะคดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาเกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดรั้วอิฐบล็อกที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำที่ดินโจทก์พังทลาย ต่อมาจำเลยตัดฟันต้นมะพร้าวของโจทก์ แล้วก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นใหม่โดยบางส่วนของอาคารรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ ดังนี้ แม้หากจะถือว่าจำเลยยังคงยึดถือที่ดินบริเวณที่พิพาทกับโจทก์ต่อเนื่องมาก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในภายหลังนั้น โจทก์ย่อมไม่มีทางที่จะยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารและชดใช้ราคาต้นมะพร้าวขณะยื่นฟ้องคดีก่อนได้ ทั้งค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์เรียกร้องมาในคดีนี้ก็เป็นคนละส่วนกับคดีก่อน การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขึ้นใหม่ จึงไม่อาจถือว่าเป็นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ส่วนการที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีก่อนโดยกล่าวถึงการก่อสร้างอาคารของจำเลยและขอให้สั่งระงับการก่อสร้างไว้ก่อนนั้น ก็มิใช่การยื่นคำฟ้องจึงไม่อาจนำมาเป็นเหตุถือว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนดังที่จำเลยอ้างมาในคำแก้อุทธรณ์ได้ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วมีคำพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อนแล้ว จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยต่อไป อุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นนี้มาเป็นเงิน 9,225 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไป และวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นนี้ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์