คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4086/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รับโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และสัญญาประกันภัยจาก ว.โดยได้แจ้งให้ผู้ให้เช่าซื้อทราบ และผู้ให้เช่าซื้อได้แจ้งให้จำเลยผู้รับประกันภัยทราบแล้วถือได้ว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบถึงการโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาประกันภัยแล้ว เมื่อการโอนในกรณีนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875มิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านการโอนสิทธิแต่อย่างใดฉะนั้น สิทธิตามสัญญาประกันภัยจึงโอนไปยังโจทก์
ว. เพียงแต่โอนสิทธิการเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่โจทก์เท่านั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของบริษัท ส. ผู้ให้เช่า ซึ่งมิได้เปลี่ยนไปยังโจทก์ จึงมิใช่กรณีผู้เอาประกันภัยโอนรถยนต์ให้บุคคลอื่นตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่สิ้นผล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2536 โจทก์ตกลงรับโอนการเช่าซื้อและการประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 ท – 6210 กรุงเทพมหานครจากผู้เช่าซื้อเดิมโดยความยินยอมของบริษัทสยามกลการ จำกัด เจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าว และจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ในระหว่างที่โจทก์เป็นผู้ครอบครองและอยู่ในระหว่างอายุประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวถูกคนร้ายลักไป โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบทันทีและขอรับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยจำนวน 220,000 บาท แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธที่จะใช้เงินแก่โจทก์ ขอให้จำเลยชดใช้เงิน 247,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 220,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน5 ท – 6210 กรุงเทพมหานคร กับจำเลยและมิได้เป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หากแต่นายวีระ ปิยะวัฒนกุล เป็นผู้เอาประกันภัยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องการโอนสัญญาเช่าซื้อมิได้เป็นการโอนการประกันภัยและมิได้แจ้งให้จำเลยทราบกรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับแล้วตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.13เมื่อผู้เอาประกันภัยได้โอนรถยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ ผู้เอาประกันภัยคนเดิมย่อมไม่มีส่วนได้เสียแล้ว สัญญาประกันภัยไม่ผูกพันจำเลยให้ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 220,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า การโอนสิทธิตามสัญญาประกันภัยโจทก์มิได้บอกกล่าวแก่จำเลยผู้รับประกันภัยเป็นลายลักษณ์อักษรการโอนจึงไม่ชอบนั้นโจทก์เบิกความว่า โจทก์รับโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาประกันภัยจากนายวีระโดยได้แจ้งให้นายศุภวัฒน์ สมสมัย ตัวแทนขายรถซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อทราบและนายศุภวัฒน์ตัวแทนขายรถได้แจ้งให้นายแสงระวี นาคแสง พนักงานของจำเลยทราบแล้ว นายวีระและนายสมชัย พรกุลประสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของบริษัทสยามกลการ จำกัด พยานโจทก์เบิกความทำนองเดียวกันว่า นายวีระได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้โจทก์โดยบริษัทสยามกลการ จำกัด ให้ความยินยอม นายสุรชัยแย้มจำนงเวช ทนายจำเลยเบิกความว่านายวีระมิได้แจ้งการโอนรถยนต์ที่เอาประกันภัยให้จำเลยทราบ เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่านายศุภวัฒน์พนักงานของบริษัทตัวแทนขายรถได้แจ้งให้นายแสงระวี นาคแสง พนักงานของจำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่ได้นำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบถึงการโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาประกันภัยแล้วการโอนในกรณีนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 875 มิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านการโอนสิทธิแต่อย่างใด ฉะนั้น สิทธิตามสัญญาประกันภัยจึงโอนไปยังโจทก์

จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลตามข้อ 1.13 เพราะนายวีระผู้เอาประกันภัยโอนรถยนต์ให้บุคคลอื่น เห็นว่า นายวีระเพียงแต่โอนสิทธิการเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์เท่านั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวเป็นบริษัทสยามกลการ จำกัด ผู้ให้เช่ามิได้เปลี่ยนไปยังโจทก์ จึงมิใช่เป็นการโอนรถยนต์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 1.13 กรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่สิ้นผลดังที่จำเลยฎีกา

พิพากษายืน

Share