คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7871/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง คือขับรถในทาง เกิดเหตุแล้วหลบหนี ซึ่งวรรคสองแห่งมาตราดังกล่าวให้สันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว เมื่อพยานจำเลยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือและมีเหตุผลควรเชื่อตามพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา ๙๑, ๓๐๐ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๗๘, ๑๕๗, ๑๖๐
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแล้วไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ปฏิเสธข้อหาอื่น
ระหว่างพิจารณา นาย ท. ผู้เสียหายที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐, ๓๙๑ (ที่ถูก ๓๙๐) พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ ให้ลงโทษจำคุก ๔ เดือน และตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษจำคุก ๔ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วเห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๓ เดือน รวมจำคุก ๗ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ วรรคหนึ่ง จำคุก ๒ เดือน ปรับ ๔,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา ๒๙, ๓๐ สำหรับข้อหาอื่นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว คงมีปัญหาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส… มีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำโดยประมาทหรือไม่ เห็นว่า จำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง คือขับรถในทางเกิดเหตุแล้วหลบหนี ซึ่งวรรคสองแห่งมาตราดังกล่าวให้สันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ในปัญหาข้อนี้จำเลยนำสืบว่าโจทก์ร่วมขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถยนต์ของจำเลย โจทก์ร่วมขับรถจักรยานยนต์แซงรถยนต์จำเลย แล้วโจทก์ร่วมหักรถจักรยานยนต์ตัดหน้าเข้าขวางหน้ารถยนต์จำเลยในระยะกระชั้นชิดจึงเกิดเหตุขึ้นโดยจำเลยมีตัวจำเลยเป็นพยานเพียงปากเดียว ข้ออ้างของจำเลยเช่นนี้เป็นข้ออ้างที่ผิดปกติวิสัยอันคนปกติธรรมดาเช่นโจทก์ร่วมจะพึงกระทำ โดยปกติแล้วผู้ที่ขับรถแซงรถอื่น จะต้องแล่นรถให้ผ่านพ้นรถที่ตนแซงไปมากพอสมควรแล้วจึงหักรถเข้าทางของตนเช่นเดิม ไม่ปรากฏว่าขณะนั้นมีรถอื่นสวนทางมา จึงไม่มีเหตุที่โจทก์ร่วมจะต้องรีบหักรถเข้ามาขวางหน้ารถจำเลยในระยะกระชั้นชิด ข้ออ้างของจำเลยไม่น่าเชื่อถือ ในทางตรงกันข้าม โจทก์มีโจทก์ร่วม ผู้เสียหายที่ ๒ นาย บ. และนาย ช. เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า จำเลยขับรถยนต์ตามหลังรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ร่วมขับ แล้วรถยนต์จำเลยชนท้ายรถจักรยานยนต์โจทก์ร่วม ในชั้นสอบสวนจำเลยเองก็ให้การในชั้นแรกรับสารภาพตรงตามคำพยานโจทก์ พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมีเหตุผลควรเชื่อตามพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยกระทำโดยประมาท คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗ ป.อ. มาตรา ๓๐๐ อีกกระทงหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ จำคุก ๔ เดือน โดยไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑.

Share