แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลมีคำสั่งตั้งให้ ล. เป็นผู้จัดการมรดก ป. ต่อมาอีก 5 ปี ล. ได้โอนทรัพย์พิพาทเป็นของตนในฐานะทายาท โดยไม่มีบุคคลใดคัดค้าน เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามหน้าที่ผู้จัดการมรดกโดยสุจริต มิใช่เป็นการกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก จึงไม่เป็นกรณีที่ผู้จัดการมรดกจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลก่อนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722
ล. ครอบครองทรัพย์พิพาทในฐานะผู้จัดการมรดก ย่อมเป็นการครอบครองแทนทายาท จำเลยผู้สืบสิทธิจาก ล. จะนำอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ แต่ในระหว่างที่ ล. เป็นผู้จัดการมรดกอยู่ 5 ปี ไม่มีบุคคลใดอ้างว่าเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับทรัพย์พิพาท จึงเป็นกรณีที่ ล. ไม่อาจทราบได้ว่าตนได้ยึดถือทรัพย์พิพาทไว้แทนบุคคลใด อันจะต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังบุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงได้ความในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2469 ขุนประจวบสมบูรณ์กับนางล้วนประจวบเหมาะภริยา ทำพินัยกรรมฉบับเดียวกันตามเอกสารหมาย จ.1ใจความว่า ให้ทรัพย์มรดกของผู้ที่ถึงแก่กรรมก่อนตกได้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และพินัยกรรมข้อ 4 ระบุว่า ที่ดินบ้านเรือนไม่ยกให้แก่ใครเป็นกรรมสิทธิ์แต่ให้ผู้มีชีวิตอยู่ภายหลังมอบให้ญาติที่มีฐานะดีเป็นผู้เก็บผลประโยชน์นำมาใช้เพื่อการที่กำหนด ที่ดินบ้านเรือนตามพินัยกรรมดังกล่าวนี้คือ ที่ดินซึ่งปัจจุบันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 76 ตำบลเกาะหลัก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินอันเป็นทรัพย์พิพาทในคดีนี้ วันที่ 10 มกราคม 2488 ขุนประจวบสมบูรณ์ถึงแก่กรรมนางล้วนได้เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2488 และได้ครอบครองทรัพย์พิพาทตั้งแต่ขุนประจวบสมบูรณ์ถึงแก่กรรมเป็นต้นมา วันที่ 10 พฤษภาคม 2493 นางล้วนโอนที่พิพาทเป็นของนางล้วนในฐานะผู้จัดการมรดก และในวันเดียวกันได้โอนต่อไปเป็นของนางล้วนในฐานะทายาท วันที่ 30 ตุลาคม 2519 นางล้วนถึงแก่กรรมโดยนางล้วนได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ทรัพย์พิพาทตกได้แก่จำเลย ขุนประจวบสมบูรณ์กับนางล้วนไม่มีบุตรด้วยกัน บิดาโจทก์เป็นพี่ร่วมบิดามารดากับขุนประจวบสมบูรณ์ เป็นทายาทโดยธรรมของขุนประจวบสมบูรณ์ บิดาโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนขุนประจวบสมบูรณ์ โจทก์เป็นผู้รับมรดกแทนที่บิดาจึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
ปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 วรรคแรก บัญญัติว่า”ทายาทคนใดครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกัน ทายาทคนนั้นมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 แล้วก็ดี” คดีนี้นางล้วนได้ครอบครองทรัพย์พิพาทตั้งแต่ขุนประจวบสมบูรณ์ถึงแก่กรรม และได้เป็นผู้จัดการมรดกในปีเดียวกันการที่นางล้วนครอบครองทรัพย์พิพาทในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมเป็นการครอบครองแทนทายาท จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ย่อมฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทจากจำเลยผู้สืบสิทธิจากนางล้วนได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคท้าย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
มีปัญหาต่อไปว่า นางล้วนได้กรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ ข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความมรดก ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว โจทก์อ้างเป็นประการแรกว่า จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ว่านางล้วนได้กรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัย พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทเป็นมรดกของขุนประจวบสมบูรณ์ตกได้แก่โจทก์ นางล้วนกลับรังวัดออกโฉนดเป็นของตน แล้วทำพินัยกรรมยกให้จำเลย นางล้วนถึงแก่กรรมจึงฟ้องเรียกคืน จำเลยให้การว่าทรัพย์พิพาทตกเป็นของนางล้วนตามพินัยกรรมข้อ 1 ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางล้วนโดยถูกต้องตามกฎหมาย นางล้วนได้จัดการดูแลครอบครองเพื่อประโยชน์ของตนเองตลอดมาเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งโจทก์ก็ทราบดี ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทในข้อ 4 ว่า ทรัพย์พิพาทเป็นกองมรดกของขุนประจวบสมบูรณ์หรือเป็นของนางล้วน ประจวบเหมาะ ดังนี้เห็นว่านางล้วนได้ทรัพย์พิพาทอันเป็นมรดกของขุนประจวบสมบูรณ์มาอย่างไร เป็นรายละเอียดอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั่นเอง เมื่อจำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางล้วน นางล้วนได้จัดการดูแลครอบครองเพื่อประโยชน์ของตนเองตลอดมากว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ทราบดี ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยอ้างว่านางล้วนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ด้วยแล้ว ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่านางล้วนได้กรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ โจทก์อ้างต่อไปว่าพินัยกรรมกำหนดให้ทรัพย์พิพาทเป็นของกลางไม่มีผล ทรัพย์พิพาทจึงตกได้แก่ทายาทโดยธรรมทุกคน นางล้วนมิได้แบ่งให้ทายาทอื่น กลับทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกโอนเป็นของตนเองโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ต้องถือว่านางล้วนถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทอยู่ตามเดิม และเมื่อนางล้วนไม่ได้แสดงเจตนาแก่ทายาทว่าจะไม่ยึดถือทรัพย์พิพาทไว้แทนทายาทต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ก็ต้องถือว่านางล้วนยึดทรัพย์พิพาทแทนโจทก์ตลอดมา ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 พิเคราะห์แล้วได้ความว่า เมื่อขุนประจวบสมบูรณ์ถึงแก่กรรม นางล้วนได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกอย่างมีพินัยกรรม ศาลได้ประกาศโฆษณาคำร้องในหนังสือพิมพ์รายวันและปิดประกาศ ณ สถานที่ราชการต่าง ๆ มีกำหนด 1 เดือน ในชั้นไต่สวน นางล้วนได้ส่งพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.1 ต่อศาล ครั้นศาลมีคำสั่งตั้งให้นางล้วนเป็นผู้จัดการมรดกแล้วต่อมาอีก 5 ปี นางล้วนจึงได้ทำการโอนทรัพย์พิพาทเป็นของตนในฐานะทายาทโดยไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของขุนประจวบสมบูรณ์ผู้ตายและคัดค้านแต่อย่างใดจนกระทั่งนางล้วนถึงแก่กรรม ที่โจทก์อ้างว่าเพิ่งทราบถึงพินัยกรรมจากนางสาวบรรจงหลังจากนางล้วนถึงแก่กรรม ไม่น่าเชื่อ เพราะนางล้วนได้ดำเนินการโดยเปิดเผยตลอดมา โจทก์และบิดาโจทก์น่าจะทราบก่อนแล้ว พฤติการณ์แสดงว่าการที่นางล้วนได้โอนทรัพย์พิพาทเป็นของนางล้วน เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามหน้าที่ผู้จัดการมรดกโดยสุจริต หาใช่นางล้วนกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกไม่ จึงไม่เป็นกรณีที่ผู้จัดการมรดกจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ดังโจทก์อ้าง ส่วนที่นางล้วนมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทแก่ทายาทนั้น ก็ปรากฏว่าในระหว่างที่นางล้วนเป็นผู้จัดการมรดกอยู่ถึง 5 ปีนั้น ไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับทรัพย์พิพาทแต่ประการใด จึงเป็นกรณีที่นางล้วนมิอาจทราบได้ว่าตนได้ยึดถือทรัพย์พิพาทไว้แทนผู้ใดอันจะต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังผู้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ได้ความว่านางล้วนโอนที่พิพาทเป็นของตนตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2493 ต่อมายังออกโฉนดในนามของตนเองและครอบครองตลอดมา ในส่วนสิ่งปลูกสร้างในที่พิพาทก็ได้รื้อห้องแถวเดิม 6 ห้องออก ปลูกใหม่เป็นสองชั้นและปลูกเพิ่มเป็น 9 ห้อง กับปลูกเรือนแถวเพิ่มอีก 2 หลัง โรงภาพยนตร์เดิมซึ่งหลังคามุงสังกระสี ฝาไม้และสังกระสี นางล้วนก็ได้รื้อออกก่อสร้างใหม่เป็นฝาก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ทั้งนี้โดยโจทก์และทายาทอื่นมิได้เกี่ยวข้องอย่างใด เป็นการครอบครองทรัพย์พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา เมื่อนับถึงวันที่นางล้วนถึงแก่กรรมในวันที่ 30 ตุลาคม 2519 เกินกว่า 10 ปีแล้ว นางล้วนจึงได้กรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นางล้วนทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทให้จำเลย เมื่อนางล้วนถึงแก่กรรม ทรัพย์พิพาทจึงตกเป็นของจำเลย โจทก์เรียกคืนไม่ได้”
พิพากษายืน