คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้นำรถยนต์ของจำเลยไปขายให้แก่โจทก์ โจทก์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเท่ากับราคารถยนต์แก่จำเลย และโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กันไว้ โดยโจทก์ยึดตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นไว้ และมีข้อตกลงกันว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จะต้องโอนรถยนต์กลับคืนให้จำเลย และตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นอันถูกยกเลิกไป โดยถือว่าต่างฝ่ายไม่ต้องชำระหรือรับเงินส่วนที่ต่างกัน เป็นการป้องกันมิให้บุคคลภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าว ดังนี้ การทำสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยจึงมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง สัญญาเช่าซื้อและตั๋วสัญญาใช้เงินจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับระหว่างโจทก์จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์เก๋ง ๑ คันจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ ๒เป็นผู้ค้ำประกันในฐานะลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเลยตั้งแต่รับมอบรถยนต์ไป สัญญาเช่าซื้อจึงยกเลิกต่อกัน จำเลยที่ ๑ ยังคงครองรถยนต์ของโจทก์อยู่ ขอให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้นำรถยนต์พิพาทของจำเลยที่ ๑ ไปขายให้แก่โจทก์ แล้วให้โจทก์กู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าว โดยโจทก์ให้ดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ ๑ และออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลยที่ ๑ ไว้ โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและรับตั๋วสัญญาใช้เงินไว้เป็นประกัน กับให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงกันด้วยวาจาว่า การเช่าซื้อรถยนต์ไม่ต้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวด แต่เมื่อถึงวันสิ้นสัญญาให้โอนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยหักเข้าบัญชีเป็นการชำระค่าเช่าซื้อ และโจทก์ต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คืนแก่จำเลยที่ ๑ ถือว่าเป็นการหักกลบลบหนี้ ต่างฝ่ายไม่ต้องชำระหรือรับเงินส่วนที่ต่างกัน จำเลยทั้งสองจึงมิใช่ผู้ผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า น่าเชื่อว่าคู่กรณีไม่มีเจตนาเช่าซื้ออย่างจริงจังหากแต่เพียงฟ้องกันมิให้เจ้าหนี้มายึดรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ ๑ และทำให้โจทก์มีหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ถือว่าสัญญาทั้งหมดทำขึ้นโดยสมรู้มีเจตนาลวงคนภายนอก จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังนี้ ทนายโจทก์แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปีให้แก่จำเลยที่ ๑ ไว้จริง ประกอบกับจำเลยที่ ๑ นำสืบว่ารถยนต์พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ มาก่อนและนำไปขายให้โจทก์ไว้โดยโจทก์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวข้างต้นให้จำเลยที่ ๑ และโจทก์ได้ยึดตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นไว้ แล้วโจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทตามสัญญาเช่าซื้อดังที่โจทก์ฟ้อง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับรถยนต์พิพาท นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าจำเลยที่ ๑ มิได้เคยชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์เลยจนกระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ของโจทก์ และแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีบริษัทโจทก์ จึงได้มีการฟ้องร้องคดีนี้ เห็นว่าคดีมีเหตุผลเชื่อว่าน่าจะมีข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ไว้ดังที่จำเลยที่ ๑ ให้การและที่นำสืบไว้จริง ฉะนั้นการทำสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ จึงมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง สัญญาเช่าซื้อและตั๋วสัญญาใช้เงินจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน.

Share