คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7857/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้แล้วมีคำสั่งให้โจทก์คัดสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงเพื่อจะสั่งเรื่องการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำแถลงของโจทก์แต่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อำนาจหน้าที่ที่จะสั่งว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์หรือไม่ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะเป็นผู้สั่งไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอเลิกห้างหุ้นส่วนไม่จดทะเบียน ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์และจำเลยทั้งสองเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนและตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 6 เป็นผู้ชำระบัญชีคดีถึงที่สุดแล้ว ระหว่างการชำระบัญชี ผู้ชำระบัญชีขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดนครสวรรค์ช่วยยึดทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนของโจทก์และจำเลยทั้งสองและขายทอดตลาดแทนผู้ชำระบัญชี โดยโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ จำเลยทั้งสองหรือผู้แทนจำเลยทั้งสองหรือผู้ชำระบัญชีจะเป็นผู้นำยึดและขายทอดตลาดศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต เจ้าพนักงานบังคับคดีประจำศาลจังหวัดนครสวรรค์ได้ยึดที่ดินของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนของโจทก์และจำเลยทั้งสองจำนวน15 แปลง เพื่อขายทอดตลาด โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินดังกล่าวไว้จนกว่าผู้ชำระบัญชีจะจัดทำงบดุลให้ถูกต้องตามหน้าที่ของผู้ชำระบัญชี ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำสั่งอนุญาตของศาลชอบแล้วไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับอุทธรณ์ของโจทก์ สำเนาให้จำเลยและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ชำระบัญชี ให้โจทก์นำส่งใน 7 วันวันที่ 22 ตุลาคม 2535 โจทก์ยื่นคำแถลงว่า ยังส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ได้และยืนยันว่าจำเลยทั้งสองยังมีภูมิลำเนาตามฟ้อง ขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง หากไม่พบจำเลยทั้งสองหรือไม่มีผู้รับแทนโดยชอบให้ปิดหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่โจทก์แถลงว่าส่งให้จำเลยที่ 1 ใหม่อีกครั้ง ไม่มีผู้รับโดยชอบปิด ส่วนจำเลยที่ 2ให้โจทก์คัดสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงว่ามีภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้หรือไม่ก่อนแล้วจึงจะพิจารณาสั่ง ให้โจทก์ส่งสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 2 ภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งอุทธรณ์ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2535 เจ้าพนักงานศาลชั้นต้นรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาทะเบียนของจำเลยที่ 2 ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งอุทธรณ์บัดนี้เกินกำหนดเวลาที่ศาลมีคำสั่งแล้ว โจทก์ไม่ได้ส่งทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 2 ต่อศาล ศาลชั้นต้นจึงให้รวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อสั่งต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้คัดสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 2 มาแสดงต่อศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1)
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งอุทธรณ์เฉพาะคดีของจำเลยที่ 2และมีคำสั่งจำหน่ายคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าอำนาจหน้าที่ที่จะสั่งว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์หรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นจะเป็นผู้พิจารณาสั่งนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นทราบรายงานของเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นมิใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ภาค 2จะเป็นผู้สั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งไปศาลอุทธรณ์ภาค 2 แสดงว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์มิได้ทิ้งอุทธรณ์นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 และมาตรา 229 บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ การยื่นอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งและมาตรา 232 บัญญัติว่า เมื่อได้รับอุทธรณ์แล้ว ให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์และมีคำสั่งให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ บทกฎหมายดังกล่าวเห็นได้ว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้แล้วมีคำสั่งให้โจทก์คัดสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงเพื่อจะสั่งเรื่องการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำแถลงของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดนั้น เป็นการที่ศาลชั้นต้นกระทำไปในชั้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 235 เท่านั้น อำนาจหน้าที่ที่จะสั่งว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์หรือไม่ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่จะเป็นผู้สั่ง หาใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นดังที่โจทก์ฎีกาไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าโจทก์ไม่ได้แถลงเรื่องภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share