คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7842/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อ้างเหตุแห่งการวินิจฉัยคดีของแต่ละศาลแตกต่างกัน แต่จำเลยฎีกาอ้างเหตุอย่างเดียวกับ ที่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน 2534 ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2534 จำเลยสั่งซื้อชิ้นพลาสติกสำเร็จรูปสำหรับเย็บติดกับรองเท้าเพื่อประดับตกแต่งและร้อยเชือกผูกรองเท้าจากโจทก์หลายครั้งรวมราคา 1,090,261.20 บาท จำเลยได้รับสินค้าที่สั่งซื้อทั้งหมดจากโจทก์แล้วและชำระราคาสินค้าให้โจทก์บางส่วนเป็นจำนวนเงิน 238,609.80 บาท ยังคงค้างชำระจำนวน 851,651.40 บาทโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ จำเลยต้องชำระราคาสินค้าที่ค้างจำนวน 851,651.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องจำนวน 12,952.20บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 864,603.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้อนเงิน 851,651.40บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยประกอบกิจการเป็นผู้ผลิตรองเท้ายี่ห้อไนกี้ ตามคำสั่งซื้อของบริษัทไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2534จำเลยตกลงจะสั่งซื้อชิ้นพลาสติกสำหรับร้อยเชือกผูกรองเท้าจากโจทก์โดยโจทก์จะต้องส่งสินค้าที่คุณภาพดีแก่จำเลยเป็นงวด ๆ เมื่อจำเลยได้รับสินค้าในงวดแรกจำเลยนำสินค้าดังกล่าวไปประกอบการผลิตรองเท้าส่งไปให้บริษัทไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้สั่งซื้อ ต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากบริษัทดังกล่าวว่ารองเท้าของจำเลยมีคุณภาพไม่ดีเนื่องจากมีสีซึมออกมาจากชิ้นพลาสติกสำหรับร้อยเชือกผูกร้องเท้าจำเลยตรวจสอบดูแล้วปรากฏว่าเป็นความจริงและพบว่าชิ้นพลาสติกสำหรับร้อยเชือกผูกรองเท้าดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนที่โจทก์ขายให้แก่จำเลย การที่สินค้ามีคุณภาพไม่ดีนั้นเป็นเหตุให้บริษัทไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยจำนวน 1,884,571.89 บาท จำเลยชำระแล้ว โจทก์ต้องรับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าว จำเลยได้เรียกร้องความเสียหายไปยังโจทก์แล้วแต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงระงับการจ่ายเงินค่าสินค้าในงวดที่ 2จำนวน 851,651.40 บาท และขอนำค่าเสียหายมาหักกลบลบหนี้กับค่าสินค้าที่ยังค้างชำระซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่จำนวน 1,302,920.49 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชดใช้เงินจำนวน 1,032,920.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเพราะไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ความเสียหายจำนวน 1,884,571.89 บาทนั้นโจทก์ไม่ต้องรับผิด เพราะความเสียหายมิได้เกิดขึ้นจากการกระทำของโจทก์และโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการที่จำเลยตกลงจ่ายเงินค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่บริษัทไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัดขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 851,651.40 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อ้างเหตุแห่งการวินิจฉัยของแต่ละศาลแตกต่างกัน แต่จำเลยฎีกาอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share