แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ ตามมาตรา 226 คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในคดีส่วนอาญาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยรับเงินจากล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้ แต่ฟ้องของโจทก์ยังระบุด้วยว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์และ ล. ได้มาโดยการหลอกลวงโจทก์และได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินดังกล่าวไว้ จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอยู่ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยประกอบอาชีพขายทองรูปพรรณ นางลัดดาหลอกลวงโจทก์ว่าต้องการขายทองรูปพรรณหนัก 35 บาท ให้โจทก์ทองดังกล่าวจำนำไว้ที่ร้านของจำเลย หากโจทก์ต้องการซื้อก็ให้นำเงินจำนวน 150,000 บาท ไปไถ่ถอนมาจากจำเลย ต่อมานางลัดดาพาโจทก์ไปที่ร้านจำเลย โจทก์มอบเงิน 150,000 บาท ให้นางลัดดานำไปให้จำเลยเพื่อไถ่ถอน จำเลยรับเงินจากโจทก์แล้วกลับไม่ยอมให้ทองแก่นางลัดดา โดยจำเลยอ้างว่านางลัดดายังเป็นหนี้จำเลยอยู่โจทก์จึงทราบว่าการที่นางลัดดามาบอกขายทองแก่โจทก์และให้โจทก์นำเงินจำนวน 150,000 บาท ไปไถ่ถอนจากจำเลยนั้นเป็นการหลอกลวงและจำเลยก็ทราบว่าเงินจำนวนนั้นเป็นเงินของโจทก์ซึ่งนางลัดดาได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน159,218.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน150,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นางลัดดาจะหลอกลวงโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่รับรองเป็นเรื่องระหว่างบุคคลทั้งสอง จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยนางลัดดาไม่เคยนำทองรูปพรรณหนัก 35 บาท ไปจำนำไว้ที่ร้านทองของจำเลย โจทก์ไม่ได้ไปร้านของจำเลย คงมีแต่นางลัดดานำเงินจำนวน 150,000 บาท ไปชำระหนี้ค่าซื้อทองจากจำเลยที่ยังค้างชำระจำเลยจึงรับชำระหนี้โดยสุจริต โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกง พนักงานอัยการสั่งฟ้องจำเลยและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงรับว่าได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาของศาลชั้นต้นจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยนำสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การพิพากษาคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาซึ่งในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงิน 150,000 บาท ของโจทก์จากนางลัดดาเป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อทองคำจากจำเลยไป จึงเป็นการรับชำระหนี้อันมีมูลจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยและไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ เพราะโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคดีไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อน คดีนี้เป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับนางลัดดาหรือประดิษฐ์ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจำนวน 150,000 บาท จากนางลัดดาหรือประดิษฐ์เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินจำนวน 150,000 บาทไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้ตามฟ้องของโจทก์ อย่างไรก็ตามนอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ฟ้องโจทก์ยังระบุด้วยว่า จำเลยทราบอยู่แล้วว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์ และนางลัดดาหรือประดิษฐ์ได้มาโดยหลอกลวงโจทก์และได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินจำนวนดังกล่าวไว้ จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษามานั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ในประเด็นดังกล่าวข้างต้น