คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยมาขายทอดตลาดทั้ง 3 แปลง เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้วแม้บัญชีรับ – จ่ายเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำขึ้นโดยลงเลขที่โฉนดเพียงแปลงเดียว ไม่ลงว่าได้ขายที่ดินมีโฉนดไปอีก 2 แปลงด้วยอันเป็นความเลินเล่อของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม ไม่ทำให้การฟังข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่โจทก์แนบบัญชีรับ – จ่ายเงินฉบับที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขให้ถูกต้องแล้วมาท้ายอุทธรณ์เป็นเพียงการแถลงให้ศาลทราบถึงความผิดพลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีหาใช่พยานหลักฐานที่โจทก์ยกขึ้นอ้างใหม่ในชั้นอุทธรณ์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 15178/2525 ระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดโจทก์ นายสนม ขำจิ๋ว จำเลย ซึ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์177,616.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน100,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้คือโฉนดเลขที่ 35744, 35745, 35746ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร และทรัพย์อื่นเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่จำนองทั้งสามแปลงและขายทอดตลาดในราคา 103,000 บาท เมื่อหักค่าฤชาธรรมเนียมแล้วโจทก์ได้รับชำระหนี้ 95,929.50 บาท คงค้างชำระ 139,622.38 บาทเมื่อคำนวณจำนวนหนี้ถึงวันฟ้องคดีนี้รวมเป็นเงิน 238,838.82 บาทจำเลยไม่มีทรัพย์อื่นใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้อีก จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้ตามคำพิพากษาโดยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 35744, 35745, 35746 รวม 3 แปลง จำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมาได้ยึดที่ดินทั้งสามแปลงมาขายทอดตลาดชำระหนี้แล้วได้เงินเพียง 103,000 บาท ไม่พอชำระหนี้ทั้งหมดโดยมีบัญชีรับ – จ่ายเงินเอกสารหมาย 5 แนบมาท้ายฟ้องด้วย เอกสารฉบับนี้มีการแก้ไขแล้ว ตรงกับฉบับที่โจทก์แนบมาท้ายอุทธรณ์แสดงให้เห็นว่ามีการขายทอดตลาดโฉนดที่ 35744 ถึง 35746 รวม 3 แปลงได้เงิน 103,000 บาท ตรงกับที่บรรยายมาในคำฟ้อง และในชั้นสืบพยานโจทก์มีนายธวัชชัย ไกรสิงห์ มาเบิกความว่า ในการบังคับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15178/2525 ของศาลชั้นต้นพยานได้นำยึดที่ดินของจำเลยทั้งสามแปลงตามเอกสารหมาย จ.5 และขายทอดตลาดได้ไม่พอชำระหนี้ จากพยานหลักฐานดังกล่าวพอฟังได้แล้วว่ามีการยึดและขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแปลงไปแล้ว ฉะนั้นแม้บัญชีรับ – จ่ายเงินเอกสารหมาย จ.6 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำขึ้นโดยลงเลขที่โฉนด 35744 เพียงแปลงเดียว ไม่ลงว่าได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35745 กับ 35746 ไปด้วยอันเป็นความเลินเล่อของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตามไม่ทำให้การฟังข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป คงฟังได้ว่ามีการขายที่ดินที่ยึดไปทั้งสามแปลงแล้วส่วนที่โจทก์แนบบัญชีรับ – จ่ายเงินฉบับที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขให้ถูกต้องแล้วมาท้ายอุทธรณ์เป็นเพียงการแถลงให้ศาลทราบถึงความผิดพลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารแนบท้ายอุทธรณ์เป็นเพียงการเน้นให้ศาลทราบเพื่อพิจารณาประกอบพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเพื่อให้เห็นว่ามีการขายที่ดินไปทั้งสามแปลงแล้วจริงเท่านั้น หาใช่พยานหลักฐานที่โจทก์ยกขึ้นอ้างใหม่ในชั้นอุทธรณ์ไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่ามีการขายที่ดินที่ยึดทั้งหมดสามแปลงหักใช้หนี้แล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีก139,622.38 บาท คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินที่เป็นหนี้238,838.82 บาท และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะให้ยึดมาชำระหนี้ได้อีก จำเลยจึงเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท หนี้ดังกล่าวกำหนดจำนวนได้แน่นอนและไม่มีเหตุสมควรที่จะไม่ให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย ตามนัยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5), 9, 14 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร

Share