คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 781/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และรับเงินไปแล้ว โจทก์ไปทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้และรับเงินโจทก์ โจทก์เชิด พ. เป็นตัวแทนรับจ้างเหมาทำงานของทางราชการ แล้วให้จำเลยกับพ.เป็นผู้ลงแรงและเพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อจำเลยกับพ. รับเงินค่าจ้างจากทางราชการแล้วจะนำมามอบให้โจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยและ พ. ทำหนังสือสัญญากู้ไว้ให้คนละฉบับ โดยมิได้มีการรับเงินตามสัญญานั้น จำเลยกับ พ. ได้มอบเงินให้โจทก์ทุกครั้งที่รับมา คงเหลืองวดสุดท้ายที่ถูกทางราชการหักไว้เป็นค่าปรับ จึงไม่สามารถนำเงินมาให้โจทก์เพื่อขอสัญญากู้คืน ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ จำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอันเป็นมูลเหตุและความประสงค์ที่ทำสัญญากู้ขึ้นประการหนึ่ง กับนำสืบว่ามูลหนี้อันจะทำให้จำเลยต้องรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์นั้นไม่มี อีกประการหนึ่ง (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2507)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ 20,000 บาทและรับเงินไปแล้ว มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้และดอกเบี้ยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโจทก์ได้ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้กับดอกเบี้ย หากไม่สามารถชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่ได้กู้และรับเงินโจทก์ ที่ทำสัญญากู้ไว้ให้นั้นเป็นการอำพรางการที่นายพรตัวแทนเชิดของโจทก์เป็นผู้รับจ้างเหมาสร้างเสริมถนนและถมดินคอสะพานกับทางราชการจังหวัดสมุทรปราการ และโจทก์ให้จำเลยที่ 1 กับนายพรเป็นผู้ลงแรงโดยโจทก์จ่ายค่าพาหนะให้ เสร็จงานมีกำไรจะแบ่งให้จำเลยที่ 1 ครึ่งหนึ่ง และเพื่อเป็นหลักประกันการที่จำเลยที่ 1 กับนายพรจะรับเงินค่าจ้างจากทางราชการแทนโจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 และนายพรทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้คนละ 20,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติกรรมอำพราง มิได้มีการรับเงินกันตามสัญญานั้น แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 กับนายพรนำเงินค่าจ้างที่ได้รับมามอบให้แก่โจทก์เป็นงวด ๆ ตามสัญญา จำเลยที่ 1 กับนายพรได้มอบเงินให้โจทก์ทุกครั้งที่รับมา คงเหลืองวดสุดท้ายที่ทางราชการหักไว้เป็นค่าปรับจึงไม่สามารถนำเงินงวดนั้นมาให้แก่โจทก์เพื่อขอรับสัญญากู้คืนมาได้ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา ศาลให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว

ศาลชั้นต้นฟังตามข้อนำสืบของจำเลยหักล้างเอกสารสัญญากู้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินไปตามสัญญา เอกสารสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมายว่า จำเลยจะนำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ไม่ได้

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้รับจ้างถมดินคอสะพานและเสริมสร้างถนนจากทางราชการเป็นเงินค่าจ้างราว 200,000 บาทโดยโจทก์มอบให้นายพรเป็นคู่สัญญารับจ้างเหมาในฐานะเป็นตัวแทนเชิดของโจทก์ โจทก์ได้ขอให้จำเลยที่ 1 ช่วยดำเนินงานนี้ด้วย ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ออกเงินทุน และจำเลยที่ 1 กับนายพรเป็นผู้รับเงินค่าจ้างจากทางราชการ เพื่อเป็นหลักประกันว่าจำเลยจะต้องนำเงินมามอบให้โจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 และนายพรทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้คนละฉบับเป็นเงินคนละ 20,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน โดยมิได้มีการรับเงินกันตามสัญญากู้ ในระยะแรกเมื่อจำเลยได้รับเงินค่าจ้างมาก็มอบให้โจทก์บ้างหักเป็นค่าจ้างคนงานบ้าง ต่อมามิได้นำเงินมามอบให้โจทก์ เพราะเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย 20,000 บาทเศษนั้นทางราชการหักเป็นค่าปรับฐานผิดสัญญากับจ่ายเป็นค่าจ้างคนงานที่ติดค้างเสียหมด โจทก์จึงนำสัญญากู้มาฟ้องจำเลย

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ข้อตกลงอันแท้จริงระหว่างโจทก์จำเลยมีอยู่ว่า เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าจ้างมาแล้วต้องนำมาให้โจทก์ การที่ทำหนังสือสัญญากู้กันไว้ ก็เพื่อจะให้เป็นหลักประกันในอนาคตว่าจำเลยต้องนำเงินมามอบให้โจทก์ตามที่ตกลงไว้ดังกล่าวหาใช่เป็นการกู้เงินกันตามความจริงไม่ ถ้าจำเลยได้รับเงินค่าจ้างมาแล้วเท่าใด โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้เท่าจำนวนนั้นคู่กรณีไม่มีเจตนาจะเรียกร้องกันตามจำนวนเงินในสัญญากู้นั้นเลย

การที่จำเลยนำสืบนั้นเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอันเป็นมูลเหตุและความประสงค์ที่ทำสัญญากู้ขึ้นว่ามีอยู่อย่างไร และการที่จำเลยนำสืบว่าได้รับเงินงวดก่อน ๆ มาก็นำไปให้โจทก์ แต่งวดสุดท้ายมิได้มอบให้เพราะถูกหักเป็นค่าปรับฐานผิดสัญญาและจ่ายให้คนงานเสียหมดนั้น เป็นการนำสืบว่ามูลหนี้ที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์นั้นหามีไม่ การนำสืบดังนี้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เมื่อฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์

พิพากษายืน

Share