แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินเพียง 46,000 บาท น้อยเกินไป ควรจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 446,000 บาท ปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยทำงานล่วงเลยเวลาที่กำหนดไว้ แต่โจทก์ยอมรับเอาผลงานและชำระเงินให้จำเลยโดยดี โดยงานที่จำเลยทำส่วนใหญ่สมบูรณ์ มีความชำรุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้ทำงานที่จ้างให้โจทก์เสร็จแล้ว ตามสัญญาจ้างเหมาฉบับพิพาทมีข้อความว่า ผู้รับจ้างต้องทำงานรายนี้ให้แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในกำหนด 180 วันนับแต่วันที่ปรากฏในสัญญานี้เป็นต้นไป ถ้าหากไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดนี้ผู้รับจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวันจนกว่าผู้รับจ้างจะทำงานรายนี้แล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่าผู้รับจ้างไม่มีทางที่จะทำงานจ้างรายนี้ให้แล้วเสร็จได้ เมื่อครบกำหนด 60 วันแล้ว ผู้รับจ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างมีอำนาจที่จะเลิกสัญญานี้ได้ทันที และหากเกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้น อันเนื่องจากผู้รับจ้างเหมาผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้ เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาแล้วใช้สิทธิเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา แต่กลับยอมต่ออายุสัญญาให้จำเลยโดยยอมรับเอาผลงานของจำเลยและชำระค่าจ้างให้จำเลยในวันซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ครบกำหนดอายุสัญญาที่โจทก์ต่อให้แล้วแสดงว่า โจทก์ไม่ได้ถือเอาระยะเวลาตามสัญญาเป็นสาระสำคัญโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ได้ทำสัญญารับจ้างเหมาตกแต่งภายในบ้านของโจทก์ ตกลงราคารวมทั้งค่าสิ่งของสัมภาระและค่าแรงงานเป็นเงิน 2,230,000 บาท กำหนดทำงานแล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันทำสัญญา หากไม่แล้วเสร็จยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันวันละ 2,230 บาท จนกว่าจำเลยทั้งสองจะทำงานแล้วเสร็จ จำเลยทั้งสองทำงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดและได้ละทิ้งงานไป โดยยังมีงานค้างอยู่ นอกจากนี้วอลล์เปเปอร์ตกแต่งภายในตกลงกันใช้ชนิดราคาไม่เกินตารางเมตรละ 200 บาทโดยโจทก์เป็นผู้เลือกหากราคาที่ซื้อต่างจากราคาที่ตกลงกันให้คิดเท่าที่จ่ายจริง เมื่อคิดราคากันแล้วโจทก์ได้จ่ายเงินค่าวอลเปเปอร์ให้จำเลยเกินไป 52,736 บาท จำเลยจึงต้องคืนให้โจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยดำเนินการตามสัญญาให้แล้วเสร็จและชำระเงินส่วนเกินคืนแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับให้โจทก์ตามสัญญา นับแต่วันซึ่งเป็นวันสัญญาครบกำหนดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,768,390 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเบี้ยปรับเป็นเงิน 1,768,390 บาท และคืนเงินจำนวน52,736 บาท กับให้ทำงานที่ค้างให้เสร็จสิ้นตามสัญญาพร้อมส่งมอบงานให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะได้ส่งมอบงานให้โจทก์ครบถ้วนเรียบร้อยตามสัญญาส่วนการส่งมอบล่าช้า หากจะมีก็เพราะโจทก์สั่งให้จำเลยแก้ไขรายการให้ผิดไปจากสัญญา สำหรับการใช้วอลเปเปอร์ส่วนที่เกินจากราคาที่ตกลงกัน ก็เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ และโจทก์มิได้จ่ายเงินให้จำเลยเกินไปตามฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินและเสียเบี้ยปรับให้โจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาชำระค่าจ้างให้จำเลยไม่ครบและตรงตามงวดที่ตกลงกัน โดยค้างชำระเงินตามสัญญา446,000 บาท งานที่ทำนอกเหนือสัญญาอีก รวมเป็นเงิน813,220 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้เงินตามฟ้องแย้งให้จำเลย 466,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 413,364 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินเพียง 46,000 บาท น้อยเกินไปควรจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 446,000 บาท ปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า การที่โจทก์ยอมรับเอาผลงานของจำเลยเพราะยังมีเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย โจทก์สามารถยึดหน่วงเงินค่าจ้างไว้เป็นเบี้ยปรับได้ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์รับมอบงานที่ทำทั้งที่รู้ว่ามีการชำรุดบกพร่องไม่มีสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยโจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ตกแต่งภายในอาคารปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3เมื่อใกล้จะครบกำหนดสัญญา จำเลยขอต่อสัญญาไปอีก 1 เดือน โจทก์ตกลงและปรากฏว่าในระหว่างทำงานที่จ้างโจทก์ได้ชำระเงินค่าจ้างให้จำเลยไปแล้ว 5 ครั้ง โจทก์ยอมต่ออายุสัญญาให้จำเลยถึงวันที่15 พฤษภาคม 2525 ซึ่งล่วงพ้นกำหนด 180 วัน ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 มาแล้วหลายเดือน เมื่อจำเลยทำงานล่วงเลยเวลาที่กำหนดไว้โจทก์ยอมรับเอาผลงานและชำระเงินให้จำเลยโดยดี ตามรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้น งานที่จำเลยทำส่วนใหญ่สมบูรณ์มีความชำรุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย ถือได้ว่าจำเลยได้ทำงานที่จ้างให้โจทก์เสร็จแล้วปรากฏว่าตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2 มีข้อความว่า “ผู้รับจ้างต้องทำงานรายนี้ให้แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ปรากฏในสัญญานี้เป็นต้นไป ถ้าหากไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดนี้ผู้รับจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 2,230 บาท จนกว่าผู้รับจ้างจะทำงานรายนี้แล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่าผู้รับจ้างไม่มีทางที่จะทำงานจ้างรายนี้ให้แล้วเสร็จได้เมื่อครบกำหนด 60 วันแล้ว ผู้รับจ้างยังทำไม่แล้วเสร็จผู้ว่าจ้างมีอำนาจที่จะเลิกสัญญานี้ได้ทันที และหากเกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้นอันเนื่องจากผู้รับจ้างเหมาผิดสัญญาผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง” ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 จำเลยต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่27 กุมภาพันธ์ 2525 และโจทก์ได้ชำระค่าจ้างให้จำเลยตามเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2525 เห็นว่าตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2 จำเลยต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2525 เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาแล้วใช้สิทธิเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาข้อดังกล่าวแต่กลับยอมต่ออายุสัญญาให้จำเลยไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2525โดยยอมรับเอาผลงานของจำเลยและชำระค่าจ้างให้จำเลยในวันที่27 พฤษภาคม 2525 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ครบกำหนดอายุสัญญาที่โจทก์ต่อให้แล้ว แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ถือเอาระยะเวลาตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 2 เป็นสาระสำคัญ ทั้งข้อเท็จจริงก็ฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย โดยโจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยทำงานเสร็จแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลย
พิพากษายืน