คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7799/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่กลับแจ้งแก่พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายสองคนร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อจากผู้ให้เช่าซื้อไป เพื่อมิให้ผู้ให้เช่าซื้อยึดรถจักรยานยนต์คืนจากจำเลย เนื่องจากจำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อ นอกจากจะเป็นการกระทำที่มุ่งถึงประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้ให้เช่าซื้อแล้วยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการที่ต้องสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดตามที่จำเลยแจ้งความอีก พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษจำคุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่ร้อยตำรวจโทสรรชัย บัวลาด พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ว่าเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยถูกคนร้ายสองคนร่วมกันใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ซึ่งจำเลยเช่าซื้อมาจากบริษัทเมืองตากจำกัดโดยจำเลยรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดดังกล่าวเกิดขึ้น จำเลยกระทำการดังกล่าวเพื่อมิให้บริษัทเมืองตาก จำกัด ยึดรถจักรยานยนต์คืนจากจำเลย เนื่องจากจำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อ เหตุเกิดที่ตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตากขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 173 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน

จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่กลับแจ้งแก่พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายสองคนร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ที่จำเลยเช่าซื้อมาจากบริษัทเมืองตาก จำกัด ไป เพื่อมิให้บริษัทดังกล่าวยึดรถจักรยานยนต์คืนจากจำเลยเนื่องจากจำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อนั้น นอกจากจะเป็นการกระทำที่มุ่งถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายของบริษัทที่ให้จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์แล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการที่ต้องสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดตามจำเลยแจ้งความอีกพฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข เหตุต่าง ๆ ที่จำเลยอ้างมาในฎีกานั้น ไม่เพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share