คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7793/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยต่อสู้ขัดขืนการจับกุมและใช้กรรไกรแทงทำร้ายจ่าสิบตำรวจ ร. หลายครั้ง แต่ปรากฏว่าการแทงครั้งแรกถูกจ่าสิบตำรวจ ร. ที่ท้องแต่ไม่เข้า เมื่อกอดปล้ำกันจำเลยได้แทงที่ไหล่ขวาจนเสื้อขาดและไม่เข้าอีกเช่นกัน แสดงว่ามิใช่เป็นการแทงโดยแรง หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้กรรไกรแทงที่กระเดือกและคอจ่าสินตำรวจ ร. มีเลือดไหลที่บริเวณกระเดือกเห็นได้ว่าขณะจำเลยใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจ ร. นั้นเป็นการแทงขณะจำเลยและจ่าสิบตำรวจ ร. ต่อสู้กอดรัดกัน และเป็นการแทงเพื่อที่จำเลยจะหลบหนี จำเลยจึงอยู่ในภาวะที่ไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของจ่าสิบตำรวจ ร. ได้ อาวุธที่จำเลยใช้แทงจ่าสิบตำรวจ ร. เป็นกรรไกรขนาดไม่ใหญ่ ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แม้จำเลยจะใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจ ร. หลายครั้ง แต่จ่าสิบตำรวจ ร. มีบาดแผลที่คอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญเพียงแห่งเดียว บาดแผลดังกล่าวเป็นเพียงรอยถลอกยาว 0.5 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 7 วันหาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าจ่าสิบตำรวจ ร. จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายจ่าสิบตำรวจ ร. เพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย และจำเลยยังมีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายอีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 92, 138, 288, 289 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 97, 102 เพิ่มโทษจำเลยและริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม)), 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง กับมาตรา 289 (2) ประกอบมาตรา 80 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย วางโทษจำคุก 5 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (1) จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี 9 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โดยเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 37 ปี 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 40 ปี 15 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 99 เม็ด และกรรไกรปลายแหลมของกลาง ให้คืนกระเป๋าสตางค์หนังสีดำ เงินจำนวน 2,070 บาท และมีดพกปลายแหลมของกลางแก่เจ้าของ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุกจำเลย 4 ปี 15 เดือน ยกฟ้องฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จ่าสิบตำรวจรัง เทียมทิม กับพวกเข้าจับกุมจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยไม่ยินยอมให้จับกุมโดยต่อสู้ขัดขวางการจับกุมและจำเลยใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจรังหลายครั้งจนได้รับบาดเจ็บปรากฏตามใบรับรองการเจ็บป่วย เอกสารหมาย จ.6 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจรังว่า เมื่อไปถึงห้างนาที่เกิดเหตุเห็นจำเลยอยู่บนห้างนาจึงเรียกจำเลยลงมาจากห้างนา และเข้าตรวจค้นตัวจำเลย พบธนบัตรจำนวนหนึ่งและมีดปลายแหลมที่ตัวจำเลย เมื่อพาจำเลยขึ้นไปบนห้างนาได้พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 99 เม็ด ที่บนห้างนา จ่าสิบตำรวจรังจึงเข้าจับกุมจำเลย จำเลยไม่ยอมให้จับกุมและใช้กรรไกรแทงที่ท้องจ่าสิบตำรวจรัง กรรไกรติดหน้าท้องแต่ไม่เข้าเนื้อ จ่าสิบตำรวจรังผลักจำเลยออกมา จำเลยจึงใช้กรรไกรแทงที่ไหล่ด้านขวามีการต่อสู้กันจำเลยใช้กรรไกรแทงที่บริเวณลูกกระเดือกและบริเวณคอจนเลือดไหล เห็นว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยเก็บเมทแอมเฟตามีนไว้บนห้างนา เมื่อจ่าสิบตำรวจตรีรังกับพวกค้นพบ จำเลยกลัวจ่าสิบตำรวจรังกับพวกจับกุม จึงต่อสู้ขัดขืนการจับกุมและใช้กรรไกรแทงทำร้ายจ่าสิบตำรวจรังหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าการแทงครั้งแรกถูกจ่าสิบตำรวจรังที่ท้องแต่ไม่เข้า เมื่อกอดปล้ำกันจำเลยได้แทงที่ไหล่ขวาจนเสื้อขาด แสดงว่าไม่เข้าอีกเช่นกัน มิใช่เป็นการแทงโดยแรง หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้กรรไกรแทงที่กระเดือกและคอจ่าสิบตำรวจรังมีเลือดไหลที่บริเวณกระเดือก เห็นได้ว่าขณะจำเลยใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจรังนั้นเป็นการแทงขณะจำเลยและจ่าสิบตำรวจรังต่อสู้กอดรัดกัน และเป็นการแทงเพื่อที่จำเลยจะหลบหนี จำเลยจึงอยู่ในภาวะที่ไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของจ่าสิบตำรวจตรีรังได้ อาวุธที่จำเลยใช้แทงจ่าสิบตำรวจรังตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ตัวกรรไกรกว้างประมาณ 0.5 นิ้ว ยาวประมาณ 4.5 นิ้ว ด้ามยาวประมาณ 2.5 นิ้ว เป็นกรรไกรขนาดไม่ใหญ่ ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แม้จำเลยจะใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจรังหลายครั้ง แต่จ่าสิบตำรวจรังมีบาดแผลที่คอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญเพียงแห่งเดียว บาดแผลดังกล่าวเป็นเพียงรอยถลอกยาว 0.5 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 7 วันหาย ตามใบรับรองการเจ็บป่วยเอกสารหมาย จ.6 พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าจ่าสิบตำรวจรัง จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายจ่าสิบตำรวจรังเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยามยามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และจำเลยยังมีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายอีกด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 296 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 4 ปี 15 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share