คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ส่งมอบเช็คพิพาทชำระหนี้ให้แก่ ก. ถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบเช็คให้แก่ ก. ไปแล้วทั้งฉบับ ก.จึงเป็นผู้ทรงเช็คนั้นทั้งฉบับ ส่วนที่โจทก์มีข้อตกลงกับ ก. อย่างไร(โจทก์อ้างว่าชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนเงินในเช็ค) นั้น เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับ ก. เมื่อ ก.เป็นผู้ที่นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ก. ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายแต่ผู้เดียวโจทก์หาใช่ผู้เสียหายด้วยไม่(โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 671/2516 เทียบเคียง)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ออกเช็คตามฟ้องชำระหนี้แก่โจทก์ โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามออกเช็คฉบับพิพาทสั่งจ่ายเงิน300,000 บาท มอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าถมดิน โจทก์เป็นลูกหนี้นายกิตติคุณอยู่ 200,000 บาท โจทก์จึงนำเช็คพิพาทชำระหนี้ให้แก่นายกิตติคุณ นายกิตติคุณได้นำเช็คฉบับพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามวิธีการของธนาคาร แต่สหธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพยุหคีรี ปฏิเสธการจ่ายเงิน นายกิตติคุณจึงนำเช็คฉบับพิพาทมาคืนโจทก์

ในปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์เป็นลูกหนี้นายกิตติคุณเพียง 200,000 บาท หากนายกิตติคุณรับเงินตามเช็คฉบับพิพาท ได้นายกิตติคุณจะต้องนำเงินมาคืนโจทก์ 100,000 บาท โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับพิพาทเฉพาะเงินที่คงเหลือ 100,000 บาทนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ส่งมอบเช็คฉบับพิพาทให้นายกิตติคุณเป็นการชำระหนี้ ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบเช็คฉบับพิพาทให้แก่นายกิตติคุณไปแล้วทั้งฉบับ นายกิตติคุณจึงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับพิพาททั้งฉบับส่วนที่โจทก์มีข้อตกลงกับนายกิตติคุณอย่างไรนั้น เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับนายกิตติคุณเมื่อนายกิตติคุณเป็นผู้นำเช็คฉบับพิพาทไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายกิตติคุณซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คจึงเป็นผู้เสียหายแต่ผู้เดียว โจทก์หาใช่ผู้เสียหายไม่

พิพากษายืน

Share