คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7780/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2539 เวลากลางวันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวได้เดินทางจากประเทศกานาผ่านประเทศมาเลเซีย เข้ามาในราชอาณาจักรทางชายแดนภาคใต้บริเวณตำบล อำเภอ จังหวัดใดไม่ปรากฏชัด โดยไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รัฐมนตรีประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา ฯลฯ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ดังนี้ฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดในข้อหาเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้โดยชัดแจ้ง โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องกล่าวในรายละเอียดว่าจำเลยลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ณ ท้องที่ชายแดนในเขตตำบลอำเภอ หรือจังหวัดใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติกานา มีภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักรไทยกับพวกที่หลบหนีอีก 1 คน ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 12, 18, 62, 81พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 80, 83, 91 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 12(1), 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง,81 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือนกระทงหนึ่ง ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 4 เดือน กระทงหนึ่ง และจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 65 วรรคสอง,66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิตอีกกระทงหนึ่งเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเพียงสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่าฟ้องโจทก์ข้อหาว่าจำเลยเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างได้ แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29ธันวาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติกานา ภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักรไทยได้เดินทางจากประเทศกานาผ่านประเทศมาเลเซียเข้ามาในราชอาณาจักรทางชายแดนภาคใต้บริเวณตำบล อำเภอ จังหวัดใดไม่ปรากฏชัดโดยไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รัฐมนตรีประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาไม่ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง ไม่ผ่านการตรวจอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประจำเส้นทางนั้น และไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้อง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ดังนี้ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดในข้อหาเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้โดยชัดแจ้ง โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว จึงไม่จำต้องกล่าวในรายละเอียดว่าจำเลยลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ณ ท้องที่ชายแดนในเขตตำบล อำเภอหรือจังหวัดใด ดังที่จำเลยฎีกาอีก ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปว่า จำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายวชิรา ไกรสมสุขพนักงานบริษัทเทรฟฟิคเอ็กซ์เพรส จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจรับส่งพัสดุภัณฑ์ไปต่างประเทศเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุจำเลยได้มาติดต่อเพื่อส่งสิ่งของไปให้ผู้รับยังประเทศเม็กซิโก และปรากฏจากการตรวจสอบของเจ้าพนักงานตำรวจว่าสิ่งของที่จำเลยบรรจุลงในกล่องพัสดุภัณฑ์มอบแก่พยานเพื่อให้จัดส่งดังกล่าวในรายการกระป๋องอาหารข้าวโพดและกระป๋องน้ำเห็ดจำนวน 2 กระป๋อง มีเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุมีลำพังแต่จำเลยเพียงผู้เดียวที่มาติดต่อกับพยานเมื่อทราบความประสงค์ของจำเลยแล้ว พยานได้แนะนำให้จำเลยกรอกข้อความลงในใบนำส่งพัสดุภัณฑ์และรับมอบกล่องพัสดุภัณฑ์ทางอากาศจากจำเลยมาตรวจสอบในชั้นต้นด้วยตนเอง พยานจึงมีโอกาสเห็นและพูดจากับจำเลยเป็นเวลานานพอสมควรนอกจากนั้นโจทก์ยังมีใบนำส่งพัสดุภัณฑ์ที่จำเลยกรอกข้อความแล้วเป็นพยานเอกสารประกอบคำเบิกความของพยาน แม้จำเลยจะใช้ชื่อในการติดต่อกับพยานแตกต่างไปจากชื่อจริงของจำเลยที่จำเลยนำสืบในชั้นพิจารณา แต่ลายมือชื่อผู้นำส่งพัสดุภัณฑ์ในใบนำส่งพัสดุภัณฑ์ก็มีลักษณะการเขียนละม้ายคล้ายคลึงกับลายมือชื่อของจำเลยในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาชั้นสอบสวนน่าเชื่อว่าลายมือชื่อผู้ส่งพัสดุภัณฑ์ในใบนำส่งพัสดุภัณฑ์ เป็นลายมือชื่อของจำเลย คำเบิกความของพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และไม่มีเหตุให้น่าสงสัยว่าพยานจะจำผู้ติดต่อขอส่งพัสดุภัณฑ์ผิดตัว ถึงแม้ภายหลังจากที่จำเลยส่งมอบกล่องพัสดุภัณฑ์ที่บรรจุสิ่งของแก่พยานแล้ว จำเลยยังคงอยู่ในบริเวณที่ทำงานของพยานมิได้หลบหนีไปก็ตาม แต่ก็ได้ความตามคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาประกอบคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนว่าขณะนั้นขั้นตอนการรับส่งพัสดุภัณฑ์ยังไม่เสร็จสิ้นต้องมีการตรวจสอบสิ่งของภายหลังการตกลงราคากันอีกชั้นหนึ่งก่อน จึงมิใช่ข้อถือแสดงว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดแต่อย่างใดและแม้เฮโรอีนของกลางที่ตรวจพบในกระป๋องอาหารข้าวโพดและกระป๋องน้ำเห็ดที่ปรากฏตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมจะมีน้ำหนักเพียง 705.80 กรัม แตกต่างจากน้ำหนักพัสดุภัณฑ์ที่ระบุในใบนำส่งพัสดุภัณฑ์ไว้เป็นปริมาณ 3 กิโลกรัม ก็ตาม แต่การชั่งน้ำหนักพัสดุภัณฑ์ดังกล่าวเป็นการชั่งสิ่งของทั้งหมดที่จำเลยได้นำมามอบแก่พยานเพื่อจัดส่งไปถึงประเทศเม็กซิโกรวม 10 รายการ หาใช่เป็นการแยกชั่งเฉพาะกระป๋องอาหารข้าวโพดและกระป๋องน้ำเห็ดเท่านั้น น้ำหนักของเฮโรอีนของกลางที่บรรจุอยู่ในกระป๋องดังกล่าวย่อมต้องน้อยกว่าน้ำหนักรวมของพัสดุภัณฑ์ทั้งหมด จึงมิได้แตกต่างกันเป็นพิรุธว่ามีการกลั่นแกล้งยัดเยียดเฮโรอีนของกลางให้แก่จำเลย นอกจากนั้นเมื่อพบข้อพิรุธน่าสงสัยในกระป๋องอาหารข้าวโพดและกระป๋องน้ำเห็ดดังกล่าวการเปิดฝากระป๋องออกตรวจสอบร้อยตำรวจโทอนุพันธ์ มุสิกานนท์และจ่าสิบตำรวจเทวิน กลิ่นคง เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยก็ได้กระทำต่อหน้าจำเลย และเมื่อพบเฮโรอีนของกลางที่บรรจุอยู่ในกระป๋องทั้งสองจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่า เฮโรอีนดังกล่าวเป็นของตนตามบันทึกการจับกุม ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพโดยผ่านนายอะซีซัน หวังหลี ล่ามผู้แปลเป็นภาษาไทยโดยคำรับสารภาพของจำเลยมีรายละเอียดและพฤติการณ์การกระทำความผิดโดยชัดแจ้ง นับแต่การเดินทางเข้ามาและสถานที่พักอาศัยในประเทศไทยตลอดทั้งการได้เฮโรอีนของกลางที่จำเลยพยายามส่งออกนอกราชอาณาจักรและบุคคลที่เกี่ยวข้องในการร่วมกระทำความผิดด้วยตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา น่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนโดยผ่านล่ามโดยสมัครใจหาใช่พนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การจำเลยขึ้นเองโดยพลการหรือมิได้อ่านให้จำเลยฟังก่อนหรือขู่เข็ญบังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การดังกล่าวดังที่จำเลยฎีกาพยานหลักฐานโจทก์จึงประกอบกันฟังได้เป็นมั่นคงว่า จำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษายืน

Share