คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7774/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ลักษณะงานของพนักงานขับรถของจำเลยซึ่งรวมทั้งโจทก์ทั้งยี่สิบเป็นงานที่ต้องทำนอกสำนักงานของจำเลยไม่ใช่งานที่ทำในสำนักงาน ในระหว่างปฏิบัติงานโจทก์ทั้งยี่สิบต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวที่สั่งผ่านมัคคุเทศก์เท่ากับจำเลยมอบการบังคับบัญชาในระหว่างปฏิบัติงานของโจทก์ทั้งยี่สิบให้บริษัทนำเที่ยว การทำงานล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวหรือมัคคุเทศก์ อีกทั้งตามสัญญาจ้างขนส่งด้วยรถโดยสารปรับอากาศ กำหนดให้บริษัทนำเที่ยวเป็นผู้จ่ายค่าล่วงเวลาให้โจทก์ทั้งยี่สิบ ในขณะเดียวกันจำเลยก็ยังคงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งยี่สิบเป็นเงินเดือนซึ่งเป็นค่าจ้างที่จ่ายสำหรับการปฏิบัติงานขับรถอันมีลักษณะงานที่ทำนอกสำนักงานของจำเลยอยู่แล้ว ส่วนเงิน “ค่าเบี้ยเลี้ยง” ที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายหรือจ่ายผ่านมัคคุเทศน์ให้โจทก์ทั้งยี่สิบนั้นเป็นเงินที่จ่ายตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในระหว่างที่โจทก์ทั้งยี่สิบปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งและอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของบริษัทนำเที่ยวที่เรียกว่า “ค่าล่วงเวลา” นั่นเอง โจทก์ทั้งยี่สิบไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในการทำงานล่วงเวลา แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ดังนั้น เงินที่เรียกว่า “ค่าเบี้ยเลี้ยง” หรือ “ค่าล่วงเวลา” ก็คือ “ค่าตอบแทน” การทำงานล่วงเวลาตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 65 (8) ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 6 ที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายค่าล่วงเวลา (ค่าตอบแทน) เหมาจ่ายให้โจทก์ทั้งยี่สิบในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานของโจทก์ทั้งยี่สิบ และจ่ายให้แม้วันที่โจทก์ทั้งยี่สิบไม่ได้ทำงานล่วงเวลาก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งยี่สิบ ไม่ทำให้เงินดังกล่าวกลายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายตอบแทนการที่โจทก์ทั้งยี่สิบออกไปทำงานล่วงเวลาครบถ้วนแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาให้โจทก์ทั้งยี่สิบ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งยี่สิบสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาโจทก์ทั้งยี่สิบ
จำเลยทั้งยี่สิบสำนวนให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประกอบกิจการขนส่งทางบกโดยมีรถยนต์โดยสารไม่ประจำทางให้เช่า โจทก์ทั้งยี่สิบเป็นพนักงานขับรถยนต์ของจำเลยได้รับค่าจ้างเดือนละ 5,100 บาท ทุกวันสิ้นเดือน บริษัทนำเที่ยวทำสัญญาให้จำเลยจัดหารถยนต์โดยสารพร้อมคนขับไปบริการนักท่องเที่ยวโดยมีมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทนำเที่ยวเป็นผู้สั่งงานพนักงานขับรถตลอดเวลาที่นักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยตามรายการที่กำหนดไว้ซึ่งถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจ 1 ครั้ง มัคคุเทศก์เป็นผู้จ่ายเงินพิเศษที่เรียกว่าค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าทัวร์เฉพาะวันที่ปฏิบัติหน้าที่ขับรถให้แก่พนักงานขับรถวันละ 300 บาท ถึง 500 บาท พนักงานขับรถต้องขับรถเฉลี่ยเดือนละ 18 วัน มีกำหนดเวลาทำงานปกติ 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา พักระหว่าง 12 นาฬิกา ถึง 13 นาฬิกา ในวันปฏิบัติอาจต้องทำงานเกินเวลาทำงานปกติถึง 8 ชั่วโมง แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งยี่สิบทำงานเกินกว่าที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ2541 มาตรา 65 (8) และกฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ข้อ 3 กำหนดไว้ โจทก์ทั้งยี่สิบมีสิทธิได้รับค่าทำงานเกินเวลาในอัตราค่าจ้างทำงานปกติ แต่ไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน 1.5 เท่า ของค่าจ้างทำงานปกติ สัญญาระหว่างจำเลยกับบริษัทนำเที่ยวที่ให้บริษัทนำเที่ยวเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนการทำงานแก่พนักงานขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยย่อมทำได้ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เงินที่มัคคุเทศก์จ่ายให้โจทก์ทั้งยี่สิบคนละ 300 บาทต่อวัน เป็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติของวันที่โจทก์แต่ละคนปฏิบัติงาน เมื่อคำนวณแล้วเป็นจำนวนที่เกินกว่าค่าจ้างทำงานปกติ 8 ชั่วโมง โจทก์ทั้งยี่สิบจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาซ้ำอีก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 14 ที่ 17 ที่ 19 ที่ 21 ถึงที่ 22 ที่ 24 ที่ 26 และที่ 28 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบว่าเงิน “ค่าเบี้ยเลี้ยง” ที่โจทก์ทั้งยี่สิบได้รับจากบริษัทนำเที่ยวหรือมัคคุเทศก์เป็น “ค่าตอบแทน” การทำงานล่วงเวลาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) ประกอบ กฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ข้อ 6 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันได้ความว่า จำเลยให้บริษัทนำเที่ยวเช่ารถโดยมีการทำสัญญาจ้างขนส่งด้วยรถโดยสารปรับอากาศตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 และจำเลยให้พนักงานขับรถของจำเลยทำหน้าที่ขับรถให้บริษัทนำเที่ยวผู้เช่ารถระหว่างปฏิบัติหน้าที่พนักงานขับรถต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวที่สั่งผ่านมัคคุเทศก์ให้นำนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวตามสถานที่ที่กำหนด เห็นว่า ลักษณะงานของพนักงานขับรถของจำเลยซึ่งรวมทั้งโจทก์ทั้งยี่สิบเป็นงานที่ต้องทำนอกสำนักงานของจำเลย ไม่ใช่งานที่ทำในสำนักงานในระหว่างปฏิบัติงานโจทก์ทั้งยี่สิบต้องปฏิบัติตามคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวที่สั่งผ่านมัคคุเทศก์เท่ากับจำเลยมอบการบังคับบัญชาในระหว่างปฏิบัติงานของโจทก์ทั้งยี่สิบให้บริษัทนำเที่ยว การทำงานล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของบริษัทนำเที่ยวหรือมัคคุเทศก์ ตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 กำหนดให้บริษัทนำเที่ยวเป็นผู้จ่ายค่าล่วงเวลาให้โจทก์ทั้งยี่สิบในขณะเดียวกันจำเลยก็ยังคงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งยี่สิบเป็นเงินเดือนซึ่งเป็นค่าจ้างที่จ่ายสำหรับปฏิบัติงานขับรถอันมีลักษณะงานที่ทำนอกสำนักงานของจำเลยอยู่แล้ว ส่วนเงิน “ค่าเบี้ยเลี้ยง” ที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายหรือจ่ายผ่านมัคคุเทศก์ให้โจทก์ทั้งยี่สิบนั้นเป็นเงินที่จ่ายตามสัญญาเอกสารหมาย ล. 2 ถึง ล.4 ตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในระหว่างที่โจทก์ทั้งยี่สิบปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งและอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของบริษัทนำเที่ยวที่เรียกว่า “ค่าล่วงเวลา” นั่นเอง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ข้อ 6 โจทก์ทั้งยี่สิบไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในการทำงานล่วงเวลาแต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ดังนั้นเงินที่เรียกว่า “ค่าเบี้ยเลี้ยง” หรือ “ค่าล่วงเวลา” ก็คือ “ค่าตอบแทน” การทำงานล่วงเวลาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 65 (8) ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ข้อ 6 ที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายค่าล่วงเวลา (ค่าตอบแทน) เหมาจ่ายให้โจทก์ทั้งยี่สิบในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานของโจทก์ทั้งยี่สิบ และจ่ายให้แม้วันที่โจทก์ทั้งยี่สิบไม่ได้ทำงานล่วงเวลาก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งยี่สิบตามสัญญาเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 ไม่ทำให้เงินดังกล่าวกลายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงที่บริษัทนำเที่ยวจ่ายตอบแทนการที่โจทก์ทั้งยี่สิบออกไปทำงานนอกสำนักงานของจำเลย เมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาให้โจทก์ทั้งยี่สิบ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share