คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 777/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บ.ซึ่งเป็นบิดาจำเลยทำพินัยกรรมยกนาพิพาทให้โจทก์โจทก์ได้เข้าครอบครองทำนาพิพาทตั้งแต่นั้นมา แม้พินัยกรรมจะไม่สมบูรณ์โจทก์ไม่ได้สิทธิตามพินัยกรรม แต่เมื่อบ.ตายโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเอง ไม่ได้ครอบครองแทนทายาทของ บ.. โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองโดยไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาทโดยได้รับพินัยกรรมจากนายบุญเลี้ยงบิดาจำเลยที่ 1 โจทก์ได้เข้าครอบครองตั้งแต่ พ.ศ. 2505 เมื่อพ.ศ. 2518 จำเลยทั้งสามได้เข้าไปไถคลาดในที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นของบิดาซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ขอให้ขับไล่

จำเลยให้การว่าที่นาพิพาทเป็นมรดกของบิดาจำเลย ซึ่งไม่เคยทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ โจทก์อาศัยจำเลยทำนาในที่พิพาทบางส่วน ต่อมาโจทก์จะทำทั้งแปลงจำเลยไม่ยอมโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนใน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พินัยกรรมที่โจทก์อ้างไม่สมบูรณ์ แต่ได้สิทธิในที่พิพาทด้วยการครอบครอง พิพากษาห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พินัยกรรมนั้นไม่สมบูรณ์ โจทก์ครอบครองทำกินในที่นาพิพาท ต่อมาเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลย ไม่ได้สิทธิ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีที่นาจึงได้ทำนาของนายบุญเลี้ยง ต่อมาพ.ศ. 2505 นายบุญเลี้ยงจึงได้ทำพินัยกรรมยกนาพิพาทให้โจทก์ โจทก์ได้เข้าครอบครองตั้งแต่นั้นมา เห็นว่าแม้พินัยกรรมนั้นจะไม่สมบูรณ์ โจทก์ไม่ได้สิทธิโดยพินัยกรรม แต่เมื่อนายบุญเลี้ยงตายเมื่อ พ.ศ. 2506 ถือได้ว่าโจทก์เข้าครอบครองเพื่อตนเอง ไม่ได้ครอบครองแทนจำเลยซึ่งเป็นทายาทของนายบุญเลี้ยง จึงไม่จำต้องมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังจำเลย และเชื่อว่าจำเลยและสามีเข้าครอบครองทำนาพิพาทฝ่ายเดียวตลอดมาหลังนายบุญเลี้ยงตายแล้ว โจทก์ได้สิทธิครอบครอง จำเลยเพิ่งเข้าแย่งทำนาพิพาทฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share