คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้โจทก์เคยอ้างสัญญากู้ทั้งสองฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้เป็นพยานในคดีที่จำเลยถูกฟ้องฐานเบิกความเท็จที่ศาลชั้นต้นและจำเลยไม่เคยโต้แย้งว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ ทั้งไม่เคยปฏิเสธว่าลายมือชื่อของจำเลยเป็นลายมือชื่อปลอม แต่จำเลยกระทำการดังกล่าวหลังจากที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความไปแล้ว จึงไม่เป็นการรับสภาพต่อเจ้าหนี้ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกาว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงนั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เคยอ้างสัญญากู้ทั้งสองฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้เป็นพยานในคดีที่จำเลยถูกฟ้องฐานเบิกความเท็จที่ศาลอาญา เมื่อปี พ.ศ. 2525 และจำเลยไม่เคยโต้แย้งว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ ทั้งไม่เคยปฏิเสธว่าลายมือชื่อของจำเลยเป็นลายมือชื่อปลอม ก็เป็นการกระทำของจำเลยหลังจากที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขาดอายุความไปแล้ว จึงไม่เป็นการรับสภาพต่อเจ้าหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า พฤติการณ์ระหว่างโจทก์จำเลยฟังอนุมาณได้ว่า โจทก์เรียกร้องเงินคืนจากจำเลยต่อเมื่อจำเลยทำการค้าได้กำไร หรือถูกโจทก์ทวงถามนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาทั้งเป็นข้อที่ไม่ได้ยกว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ สรุปแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share