คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ จำเลยให้การว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจะใช่สัญญากู้เงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้หรือไม่ จำเลยไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยหมายความว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกเงินกู้ตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นประเด็นในคดี เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องอายุความและได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องดังกล่าวไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความ และศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แต่ละครั้งเมื่อใดถึงกำหนดชำระคืนเมื่อใด จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืน จึงฟ้องเรียกเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยคำฟ้องของโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง การที่โจทก์ไม่ได้แนบสัญญากู้หรือสำเนาสัญญากู้มาพร้อมกับฟ้อง ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653วรรคแรก บังคับแต่เพียงว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่เท่านั้นมิได้บังคับว่าจะต้องแนบสัญญากู้หรือหลักฐานการกู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องด้วยจึงจะฟ้องร้องได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับไว้เช่นนั้นด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้รวมเป็นเงิน 52,500บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่ส่งเอกสารอันเป็นหลักแห่งข้อหา จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ยืมเงินไว้ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ถึงจ.3 มอบให้โจทก์ไว้ ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า
1. ที่ศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความและศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยเรื่องอายุความนั้น เป็นการชอบหรือไม่
2. ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
3. จำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่
ปัญหาข้อแรก ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้คดีในส่วนนี้ไว้ว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องจะใช่สัญญากู้เงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้หรือไม่ จำเลยไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้ง (เพราะโจทก์ไม่ได้แนบสัญญากู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้อง) และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ซึ่งหมายความว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องเรียกเงินกู้ตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ดังนั้นปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นประเด็นในคดี จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเพิ่มเติมเรื่องอายุความและได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องดังกล่าวของจำเลยไว้แล้วก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความ และศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรตั้งประเด็นและวินิจฉัยไปเลยโดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ร่วม 3 ครั้งครั้งแรกวันที่ 5 มิถุนายน 2517 ครั้งที่ 2 วันที่ 5 มกราคม 2518และครั้งที่ 3 วันที่ 1 สิงหาคม 2520 กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 5มิถุนายน 2518 วันที่ 5 มกราคม 2519 และวันที่ 31 สิงหาคม 2521ปรากฏตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1, จ.2 และ จ.3 ตามลำดับ โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2527 ยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระเงินกู้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าวทั้งสามฉบับดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาข้อ 2 ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ศาลฎีกา เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แต่ละครั้งเมื่อใด ถึงกำหนดชำระเงินคืนเมื่อใด จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืน จึงฟ้องเรียกเงินกู้คืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสอง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่โจทก์มิได้แนบสัญญากู้เงินหรือสำเนาสัญญากู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บังคับแต่เพียงว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่เท่านั้น มิได้บังคับว่าจะต้องแนบสัญญากู้เงินหรือหลักฐานการกู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องด้วยจึงจะฟ้องร้องได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับไว้เช่นนั้นด้วย ดังนั้นโจทก์จึงไม่จำต้องแนบสัญญากู้เงินหรือสำเนาสัญญากู้เงินมาพร้อมกับคำฟ้องตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยทำสัญญากู้เงินโดยมีกำหนดเวลาชำระเงินคืนแน่นอน เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระเงินคืน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ปัญหาข้อสุดท้ายจำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์รวม 3 ครั้ง ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1ถึง จ.3 ในการกู้เงินครั้งที่ 2 นางยุพิน ไม้ประเสริฐ เพื่อนของจำเลยลงชื่อเป็นพยานในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.2 ในการกู้เงินครั้งที่ 3 นางสมสุขภริยาของโจทก์ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยได้ลงชื่อในช่องผู้กู้และกรอกเฉพาะตัวเลขจำนวนเงินไว้ในสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 มอบให้โจทก์ไว้จริงเพื่อเป็นหลักประกันในการที่โจทก์ตกลงกับจำเลยว่า โจทก์จะรับงานมาให้จำเลยตัดเครื่องแบบทหารบกในปีหนึ่งได้ถึง 500,000 บาท แล้วจำเลยจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 10,000 บาท แก่โจทก์ และจำเลยยังได้สั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับเพื่อเป็นหลักประกันไว้ให้โจทก์ด้วย แต่โจทก์รับงานมาให้จำเลยทำได้เพียงปีละประมาณ 100,000 บาทเศษเท่านั้น ต่อมาโจทก์ได้ให้บุคคลอื่นนำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือได้พิพากษายกฟ้องไปแล้วเนื่องจากเช็คไม่มีมูลหนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเบิกความแต่เพียงชอย ๆ ไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุน ทั้งมิได้อ้างสำนวนหรือคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวที่จำเลยถูกฟ้องมาเป็นพยานคดีนี้แต่อย่างใด ซึ่งโจทก์ก็เบิกความปฏิเสธว่า โจทก์ไม่เคยติดต่อกับจำเลยเรื่องอื่นนอกจากโจทก์เป็นแต่เพียงลูกค้าจ้างจำเลยตัดเสื้อผ้าเท่านั้น ส่วนเช็ค 2 ฉบับที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ไว้เป็นประกันเงินกู้ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 นั้นโจทก์ไม่ได้นำไปขึ้นเงิน พยานจำเลยที่นำสืบจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่าก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์แล้ว 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2,000 บาท ดังนั้นจึงต้องหักดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวที่จำเลยชำระให้โจทก์ไปแล้ว ออกจากดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share