แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้คัดค้านปกปิดการร้องขอให้ ส. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เพราะประสงค์จะช่วยเหลือและคุ้มครองประโยชน์ของ ส. โดยคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล นอกจากนั้นผู้คัดค้านยังเป็นผู้รับมอบอำนาจจากบิดาผู้คัดค้านฟ้อง ค. และ บ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ ส. เพิกถอนการโอนที่ดินของ ป. พี่ชาย ส. ทั้งผู้คัดค้านยังได้แจ้งความร้องทุกข์ในฐานะผู้พิทักษ์ของ ส. ให้ดำเนินคดีแก่ ค. ในข้อหายักยอกทรัพย์ของ ส. การที่ผู้คัดค้านแจ้งความดำเนินคดีก็ดี การฟ้องคดีก็ดี ถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านได้กระทำในฐานะส่วนตัว จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้คัดค้านมีคดีในศาลกับพี่น้องร่วมบิดามารดากับ ส. และมิใช่ผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้อนุบาล
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นางสาวเสริม เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งให้นางสาวเสริม เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้อนุบาล และยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่านางสาวเสริม เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของนางกุหลาบ ผู้ร้องและนางสาวดวงสมร ผู้คัดค้าน ร่วมกัน
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า นางสาวเสริมเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและอยู่ในความพิทักษ์ของผู้คัดค้าน นางสาวเสริมเป็นบุตรนายหลังและนางสอน บิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว นางสาวเสริมมีพี่น้องร่วมบิดามารดากันดังนี้ นายทองสุข ถึงแก่กรรมแล้ว นายพรม บิดาของผู้คัดค้าน นางจันทร์ นางสาวบุญรอด นางสาวบุญมา นางกุหลาบ ผู้ร้อง นายสาคร นายอินทร์ ถึงแก่กรรมแล้ว ผู้คัดค้านเป็นบุตรของนายพรม และเป็นหลานของนางสาวเสริม นางสาวเสริมเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 9002 ตำบลบางกะปิ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีตลาด ป.พลาซ่า ปลูกสร้างอยู่ นางสาวเสริม อายุ 80 ปี ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลว มีอาการติดเชื้อที่ปอด และทางเดินปัสสาวะต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลมิชชั่นและโรงพยาบาลศรีสยาม ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เจ้าพนักงานเขตคันนายาวมีคำสั่งให้นางสาวเสริมรื้อถอนตลาด ป.พลาซ่า เนื่องจากไม่ได้ขออนุญาตก่อสร้าง และได้มีการแจ้งความดำเนินคดีแก่นางสาวเสริม ปัจจุบันนางสาวเสริมพักรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตที่โรงพยาบาลศรีสยาม ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้พิทักษ์ของนางสาวเสริมคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีเหตุสมควรให้ผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของนางสาวเสริม เพียงคนเดียวหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคสอง บัญญัติว่า บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล การแต่งตั้งผู้อนุบาล อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาลและการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาล ให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้ และตามมาตรา 1587 บัญญัติว่า บุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วอาจถูกตั้งเป็นผู้ปกครองได้ เว้นแต่
(1) ผู้ซึ่งศาลสั่งว่าเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
(2) ผู้ซึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย
(3) ผู้ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะปกครองผู้เยาว์หรือทรัพย์สินของผู้เยาว์
(4) ซึ่งมีหรือเคยมีคดีในศาลกับผู้เยาว์ ผู้บุพการีหรือพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดากับผู้เยาว์
(5) ผู้ซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายได้ทำหนังสือระบุชื่อห้ามไว้มิให้เป็นผู้ปกครอง
เหตุที่ผู้ร้องอ้างมาดังกล่าวว่า ผู้คัดค้านไม่เคยไปเยี่ยมนางสาวเสริม ไม่ได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลก็ได้ความจากผู้คัดค้านว่า ผู้คัดค้านอยู่กับนางสาวเสริมตั้งแต่เด็กจนถึงปี 2531 ไม่ปรากฏว่านางสาวเสริม ได้ตั้งข้อรังเกียจผู้คัดค้านแต่อย่างไร ผู้ร้องได้นำนางสาวเสริมมาอยู่กับผู้ร้องก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้ทำความเสื่อมเสียให้แก่นางสาวเสริม ภายหลังนางสาวเสริมเจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผู้ร้องอ้างว่าผู้คัดค้านไม่เคยไปเยี่ยมนางสาวเสริมก็เป็นแต่ข้ออ้างของผู้ร้องเท่านั้น และเหตุที่ผู้คัดค้านไม่ไปเยี่ยมนางสาวเสริม ก็ไม่ใช่เหตุที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้อนุบาล ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้คัดค้านไม่เคยช่วยออกค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลนั้น เห็นว่า ผู้คัดค้านเป็นหลานนางสาวเสริมแต่ผู้ร้องกับนางสาวเสริมเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจึงควรเป็นหน้าที่ของผู้ร้องเสียมากกว่าและเงินที่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ใช่เงินของผู้ร้องทั้งหมด แต่ผู้ร้องนำเงินค่าเช่าตลาด ป.พลาซ่า มาเป็นค่าใช้จ่ายมิใช่ผู้คัดค้านไม่เคยช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายดังกล่าวแต่อย่างไร เพราะได้ความจากนางกรรณิกา เจ้าหน้าที่แผนกการเงินโรงพยาบาลมิชชั่นพยานผู้ร้อง ว่าผู้คัดค้านเคยชำระค่ารักษาพยาบาลให้นางสาวเสริม นับว่าผู้คัดค้านได้ช่วยเหลือตามความสามารถในฐานะหลานของนางสาวเสริมแล้ว ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้คัดค้านปกปิดการร้องขอให้นางสาวเสริมเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ก็ไม่ใช่เหตุที่ผู้คัดค้านไม่เหมาะสมเป็นผู้อนุบาล แต่กลับทำให้เห็นว่าผู้คัดค้านประสงค์จะช่วยเหลือและคุ้มครองประโยชน์ของนางสาวเสริม อีกทั้งคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาจึงไม่ได้ความว่า ผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ปกปิดการร้องขอให้นางสาวเสริมเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และผู้ร้องกล่าวอ้างต่อมาว่าผู้คัดค้านมีคดีความในศาลกับนายสาคร และยังเป็นผู้รับมอบอำนาจจากบิดาผู้คัดค้าน ฟ้องนายสาครและนางสาวบุญมา เห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงว่าผู้คัดค้านได้แจ้งความร้องทุกข์ในฐานะผู้พิทักษ์ของนางสาวเสริมให้ดำเนินคดีแก่นายสาคร ในข้อหายักยอกทรัพย์และผู้คัดค้านเป็นผู้รับมอบอำนาจจากบิดาผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องนายสาคร และนางสาวบุญมา ให้เพิกถอนการโอนที่ดินของนายทองสุข พี่ชายนางสาวเสริม การที่ผู้คัดค้านแจ้งความดำเนินคดีก็ดี การฟ้องคดีก็ดี ถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านได้กระทำในฐานะส่วนตัว จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้คัดค้านมีคดีในศาลกับพี่น้องร่วมบิดามารดากับนางสาวเสริม และที่ผู้ร้องอ้างเป็นข้อสุดท้ายว่า ผู้คัดค้านหาผลประโยชน์ในที่ดินของนางสาวเสริมเป็นของตนเอง โดยผู้คัดค้านทราบดีอยู่แล้วว่า การปลูกสร้างตลาด ป.พลาซ่าโดยไม่รับอนุญาต และจะต้องถูกรื้อถอน แต่กลับนำไปให้พ่อค้าแม่ค้าเช่า โดยหวังผลประโยชน์จากค่าเช่าที่ผู้คัดค้านจะได้รับไว้เอง ผู้ร้องก็ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า ผู้คัดค้านเก็บเงินค่าเช่าดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว กลับได้ความจากผู้คัดค้านภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้พิทักษ์ของนางสาวเสริมแล้ว ผู้คัดค้านได้ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของนางสาวเสริมพบว่า นายสาครเป็นผู้เช่าที่ดินของนางสาวเสริมได้ก่อสร้างตลาด ป.พลาซ่า แล้วนำออกให้บุคคลอื่นเช่าช่วงเพื่อทำการค้าขายสินค้า ต่อมาเจ้าหน้าที่เขตคันนายาวแจ้งว่าตลาดป.พลาซ่าปลูกสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีการแจ้งความดำเนินคดีแก่นางสาวเสริม ผู้คัดค้านจึงอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นว่า นางสาวเสริมมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดและทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันตลาด ป.พลาซ่ายังไม่ได้ถูกรื้อถอนและถูกปรับวันละ 30,000 บาท ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นเขตคันนายาว ผู้คัดค้านได้นำป้ายผังขนาดใหญ่ไปติดที่ตลาด ป.พลาซ่า รวมทั้งแจกใบปลิวแก่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดว่าผู้คัดค้านในฐานะผู้พิทักษ์ของนางสาวเสริมขอเลิกสัญญาเช่าเดิม เห็นได้ว่า ขณะนางสาวเสริมอยู่กับผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ได้ดูแลรักษาทรัพย์สินของนางสาวเสริม แต่กลับปล่อยให้นายสาครนำที่ดินของนางสาวเสริมไปหาประโยชน์จนเป็นเหตุให้นางสาวเสริมต้องถูกดำเนินคดี และเมื่อผู้คัดค้านเป็นผู้พิทักษ์แล้วจึงทราบว่าที่ดินดังกล่าวมีปัญหาและแก้ไข โดยผู้คัดค้านเป็นคู่สัญญาเองโดยระบุในหนังสือสัญญาเช่าอาคารแผงลอยหรือร้านค้าว่า ผู้ให้เช่าเป็นผู้พิทักษ์นางสาวเสริม ตามคำสั่งศาลแสดงให้เห็นเจตนาของผู้คัดค้านว่าเป็นการกระทำการแทนเพื่อประโยชน์ของนางสาวเสริม จึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า ผู้คัดค้านหาผลประโยชน์ในทรัพย์สินของนางสาวเสริมเป็นของตนเอง ในทางกลับกันสัญญาเช่าที่ดินระหว่างนางสาวเสริมและบริษัท จ้าวซัน จำกัด มีนายสาครเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ มีนางจันทร์ และผู้ร้องเป็นพยาน ในการทำสัญญานายสาครเป็นผู้จับนางสาวเสริมพิมพ์ลายนิ้วมือลงในสัญญา ซึ่งผู้ร้องทราบดีว่าขณะนั้นนางสาวเสริมมีอาการสั่นและเป็นช่วงที่นางสาวเสริมป่วยอยู่ หลังจากบริษัท จ้าวซัน จำกัด ทำสัญญากับนางสาวเสริมแล้วในวันเดียวกันบริษัท จ้าวซัน จำกัด นำที่ดินบางส่วนไปให้บริษัท เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด เช่าช่วงเดือนละ 30,000 บาท และนำที่ดินส่วนที่เหลือมาปลูกสร้าง ตลาด ป.พลาซ่า นำออกให้บุคคลอื่นเช่าช่วงนับว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นให้นายสาครนำที่ดินของนางสาวเสริมไปหาผลประโยชน์ โดยจ่ายผลประโยชน์ให้แก่นางสาวเสริมเพียงเล็กน้อย ตามพฤติการณ์ของผู้ร้องดังกล่าว หากให้ผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของนางสาวเสริมเพียงคนเดียวอาจทำให้ทรัพย์สินของนางสาวเสริม ได้รับความเสียหาย เมื่อผู้คัดค้านไม่เป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้เป็นผู้อนุบาลแล้ว เพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของนางสาวเสริม ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้อนุบาลของนางสาวเสริมร่วมกัน จึงเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.