คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์เกษียณอายุตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย โดยมิได้มีการกลั่นแกล้งโจทก์ ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 86,922 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 149,260 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2525 ตำแหน่งพนักงานขับรถ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,630 บาท ค่าครองชีพ 700 บาท ค่าตำแหน่ง 450 บาท รวมเป็นเงิน 8,780 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 10 ของเดือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 เพราะเหตุเกษียณอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 76,300 บาท และจ่ายเพิ่มเติมอีก 15,597 บาท แก่โจทก์ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเดิมถูกยกเลิกโดยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ. 2 ที่กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หากลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานมากกว่า ให้จ่ายตามจำนวนที่มากกว่านั้น จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามฟ้องอีก และจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่า ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยฉบับเดิมได้ระบุเกี่ยวกับการจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่ลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างออกจากงานโดยไม่มีความผิดลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายด้วย แต่จำเลยได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยใหม่ โดยยกเลิกเรื่องการจ่ายเงินบำเหน็จ และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเป็นค่าชดเชย แต่ใช้หลักเกณฑ์วิธีพิจารณาและการคำนวณเหมือนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเดิม ทำให้ลูกจ้างไม่ได้รับเงินบำเหน็จต่อไป เป็นการลดสิทธิต่าง ๆ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเดิมซึ่งไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างและขัดต่อกฎหมายจึงไม่มีผลใช้บังคับ การจ่ายเงินเมื่อเลิกจ้างตามข้อบังคับใหม่ให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายมาในคำฟ้องว่าข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่ของจำเลยขัดต่อกฎหมายเพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้บังคับ เมื่อโจทก์ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2.2 ที่ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิด จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเท่ากับอายุงานของโจทก์เป็นเงิน 149,260 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์เกษียณอายุตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย โดยมิได้มีการกลั่นแกล้งโจทก์ ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้องให้แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share