คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7733/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยาน 3 ปากเบิกความยืนยันสอดคล้องกันว่าไม่มีกรณีป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ เบิกความว่าผู้เสียหายคุยกับจำเลย ห่างประมาณ 1 ศอก แล้วจำเลยชักอาวุธปืนออกมาจากเอวด้านหลังพร้อมทั้งใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้เสียหาย จำเลยมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจหลังเกิดเหตุให้การรับสารภาพโดยไม่ได้กล่าวอ้างข้อต่อสู้ป้องกันตัว ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย1 นัด อันปราศจากเหตุที่จะอ้างว่าป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ปืนเป็นอาวุธร้ายแรง เมื่อใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นหากไม่มีเหตุผลพิเศษอันควรรับฟัง ย่อมแสดงว่ายิงด้วยมีเจตนาฆ่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ท้อง กระสุนปืนถูกอวัยวะสำคัญภายในฉีกขาด คือลำไส้ใหญ่และม้าม นับว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เห็นได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาฆ่า การที่ ไม่ได้ยิงซ้ำทั้ง ๆ ที่ยังมีกระสุนปืนอีก 1 นัด ได้ความว่าอาวุธปืนของจำเลยยิงได้ทีละนัด หากจะยิงซ้ำต้องหักลำกล้องเอาปลอกกระสุนเก่าออกแล้วใส่กระสุนใหม่ ดังนี้แม้จำเลย ประสงค์จะยิงซ้ำก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย ลำพังข้อเท็จจริงที่ยิงเพียงนัดเดียวหาได้แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธปืน แต่ปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานพยายามฆ่า จำคุก 10 ปีฐานพาอาวุธปืน ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดปรับ 1,800 บาท รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 1,800 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 ปี 8 เดือนและปรับ 1,200 บาท ค่าปรับไม่ชำระให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นพิพากษายกฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาเฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดถูกที่ท้อง มีปัญหาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์มีนายวินิทร สัมมาชีพ ผู้เสียหาย นางกุหลาบ สัมมาชีพและนางสาวอัญชลี สัมมาชีพ เป็นประจักษ์พยาน พยานทั้งสามเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกันว่า ไม่มีกรณีป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายคุยกับจำเลยว่า ขอให้จบเรื่อง ซึ่งหมายถึงเรื่องขัดแย้งระหว่างนางกุหลาบและนางเก๋ ขณะที่ผู้เสียหายคุยอยู่ห่างจำเลยประมาณ 1 ศอก จำเลยเอื้อมมือไปข้างหลังแล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ผู้เสียหายถูกกระสุนปืนล้มลง เห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่โดยที่ผู้เสียหายไม่มีอาวุธปืนติดตัวและไม่มีการต่อสู้กัน นางกุหลาบเบิกความว่า เห็นผู้เสียหายยืนคุยกับจำเลยที่หน้าบ้านโดยไม่มีการต่อสู้กัน ขณะพยานเดินเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงปืน1 นัด พยานวิ่งออกไปดู เห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่และผู้เสียหายล้มอยู่ นางสาวอัญชลีเบิกความว่า เห็นผู้เสียหายยืนคุยกับจำเลยอยู่หน้าบ้าน ห่างกันประมาณ 1 ศอก แล้วเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกมาจากเอวด้านหลัง พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้เสียหายพยาน 3 ปากนี้เบิกความน่าเชื่อถือ จำเลยเองเมื่อมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจหลังเกิดเหตุก็ให้การรับสารภาพโดยไม่ได้กล่าวอ้างข้อต่อสู้ป้องกันตัว ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งมีข้อความว่า จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาเอกสารฉบับนี้พันตำรวจตรีธวัชชัย คำแหงพล ผู้รับมอบตัวจำเลยเป็นผู้ทำขึ้น โจทก์มีพันตำรวจตรีธวัชชัยเป็นพยานยืนยันความถูกต้อง ข้ออ้างของจำเลยเรื่องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเพิ่งมีขึ้นในภายหลังไม่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ทั้งให้รายละเอียดแตกต่างกันในแต่ละครั้งอีกด้วย ในชั้นสอบสวน จำเลยให้การตามบันทึกหมาย จ.8 ว่า ผู้เสียหายใช้มือซ้ายจับคอจำเลยดันไปติดรถยนต์คันหนึ่ง แล้วใช้มือขวาล้วงไปด้านหลัง จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายจะใช้อาวุธปืนยิงจำเลยอย่างแน่นอน จำเลยจึงชักอาวุธปืนออกมายิงผู้เสียหาย 1 นัด เป็นการป้องกันตัว แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า ผู้เสียหายผลักจำเลยเซไปติดรถยนต์ ใช้มือค้ำคอจำเลยไว้แล้วผู้เสียหายชักอาวุธปืนออกมา จำเลยจึงชักอาวุธปืนออกมายิงผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด อันปราศจากเหตุที่จะอ้างว่าป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ปืนเป็นอาวุธร้ายแรง เมื่อใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่น หากไม่มีเหตุผลพิเศษอันควรรับฟัง ย่อมแสดงว่ายิงด้วยมีเจตนาฆ่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ท้อง กระสุนปืนถูกอวัยวะสำคัญภายในฉีกขาด คือลำไส้ใหญ่และม้าม นับว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เห็นได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาฆ่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยยิงเพียงนัดเดียว ไม่ได้ยิงซ้ำทั้ง ๆ ที่ยังมีกระสุนปืนอีก 1 นัด นั้น ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า อาวุธปืนของจำเลยยิงได้ทีละนัด หากจะยิงซ้ำต้องหักลำกล้องเอาปลอกกระสุนเก่าออก แล้วใส่กระสุนใหม่ ดังนี้ แม้จำเลยประสงค์จะยิงซ้ำก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย ทั้งจำเลยจะมีกระสุนปืนอีก 1 นัด ติดตัวในขณะนั้นหรือไม่ก็ไม่แน่ ลำพังข้อเท็จจริงที่ยิงเพียงนัดเดียวหาได้แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share