แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนฎีกา ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีรวมการพิจารณา แต่คดีหมายเลขแดง ที่ 1768/2536(ของศาลชั้นต้น) เป็นคดีมีทุนทรัพย์200,000 บาท คดีหมายเลขแดงที่ 1769/2536(ของศาลชั้นต้น)เป็นคดีมีทุนทรัพย์ 180,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์ โต้แย้งเรื่องที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของจำเลยหรือไม่ และดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์และโจทก์ร่วมเห็นว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน การที่โจทก์ยื่นฟ้องเป็น 2 คดีเพราะเบื้องต้นจำเลยได้บุกรุกเข้าแย่งที่ดินเฉพาะ 200 ตารางวา เท่านั้น แต่เมื่อโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีแรกแล้ว จำเลยจึง ได้บุกรุกเข้าแย่งที่ดินเพิ่มอีก 300 ตารางวา โจทก์จึงฟ้อง เป็นคดีที่สอง ศาลจึงมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษา คดีทั้งสองสำนวนนี้เข้าด้วยกัน ทั้งข้อพิพาทโต้แย้งก็มี ประเด็นหลักเพียงว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 500 ตารางวา นี้อยู่ในเขต น.ส.3 ของโจทก์หรืออยู่ในเขตโฉนดของจำเลย ทุนทรัพย์ตามฟ้องทั้งสองคดีจึงต้องมารวมกันด้วย คดีทั้งสอง สำนวนนี้จึงมีทุนทรัพย์ 380,000 บาท ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาที่ว่าที่ดินพิพาทได้รับความ คุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 243) คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษา เข้าด้วยกัน ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนายพยุง เจริญสุข และนายนำศักดิ์อรรถนุพรรณ เข้าเป็นโจทก์ร่วมและนายพยุงกับนายนำศักดิ์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต และให้เรียกนายสมพงษ์ผ่องธัญญาว่าโจทก์ที่ 1 นายพยุง เจริญสุข ว่าโจทก์ที่ 2 นายนำศักดิ์ อรรถนุพรรณ ว่าโจทก์ที่ 3 และให้เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนคงเดิม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทตามเส้นสีน้ำเงิน และสีน้ำเงินแดงตามจุด ง.1ง.2ง.3ค.6ค.7และค.8ในเอกสารหมาย จ.20 เฉพาะส่วนที่ไม่ได้เป็นที่ตั้งห้องแถว อยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 2386 ตำบลทุ่งกระพังโหมอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ห้ามโจทก์ทั้งสามเข้าไปเกี่ยวข้องคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 235) โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนจึงยื่นคำร้องนี้และ คำร้องเพิ่มเติม (อันดับ 237,242 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง การพิจารณาว่าคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่จะต้องพิจารณาทุนทรัพย์เป็นรายคดี คดีทั้งสองสำนวนนี้แม้จะรวมพิจารณากัน แต่เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาแต่ละคดีมีจำนวนไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินที่พิพาทในแต่ละคดีอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 410 นั้นเป็นการโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวข้างต้น ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 เพราะได้ซื้อ ที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริง รับฟังเป็นยุติแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 410 ของโจทก์ที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาด ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง