คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7732/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

หลังจากโจทก์ชำระเงินงวดที่ 11 ให้จำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ไม่ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารพิพาทไม่แล้วเสร็จจนปัจจุบันนี้เพราะมีปัญหาเรื่องการเงิน กรณีจึงเป็นที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าโดยพฤติการณ์แห่งคดีหรือโดยสภาพหรือโดยเจตนาของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่โจทก์จะต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารพิพาทต่อไปอีก เพราะถึงอย่างไรจำเลยที่ 1 ก็ไม่ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทต่อไปอันเป็นการไม่ชำระหนี้อยู่ดีและหากยังคงให้โจทก์ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 อีก ย่อมเป็นการยังความเสียหายแก่โจทก์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารพิพาทให้แล้วเสร็จอีก การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงชอบแล้วและถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ที่พิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ในราคา 1,050,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ติดต่อกันรวม 11 งวด แต่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารเพียงบางส่วนและหยุดก่อสร้างจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 3 ปี โจทก์ติดตามทวงถามให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคาร แต่จำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการ โจทก์ไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อไปจึงบอกเลิกสัญญา และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 222,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 222,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ แต่โจทก์ไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา เป็นเหตุให้การก่อสร้างอาคารต้องหยุดลง โจทก์ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาโดยไม่บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารภายในเวลาพอสมควรก่อนการบอกเลิกจึงเป็นการไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 ในราคา 1,050,000 บาท โจทก์ชำระค่างวดให้จำเลยที่ 1 รวม 11 งวด ตั้งแต่เดือนมกราคม 2539 ถึงเดือน พฤศจิกายน 2539 รวมเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 222,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและให้จำเลยที่ 1 คืนเงินให้แก่โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ เห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า หลังจากโจทก์ชำระเงินค่าจอง ค่ามัดจำและค่างวดจำนวน 11 งวด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 222,000 บาท แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จจนปัจจุบันนี้ พยานได้ติดต่อจำเลยที่ 1 ตลอดมา แต่จำเลยที่ 1 ผัดผ่อนและไม่ได้ก่อสร้างอีก พยานจึงหยุดชำระเงินตั้งแต่งวดที่ 12 เป็นต้นมา พยานตกลงกับจำเลยที่ 1 ด้วยวาจาว่า อาคารที่จะซื้อจะขายจะเสร็จประมาณเดือนมกราคม 2540 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา พยานจึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วยังคงเพิกเฉยไม่ได้ติดต่อกับโจทก์อีกเลย ทั้งยังได้ความจากจำเลยที่ 2 นายวิทยา งานทวี และคำเบิกความของนายอุดมประทีป ณ ถลาง ในคดีหมายเลขดำที่ 428/2543 ของศาลชั้นต้น สอดคล้องต้องกันและรับกับคำเบิกความของโจทก์อีกด้วยว่า หลังจากโจทก์ชำระเงินค่างวดที่ 11 ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2539 แล้ว นายอุดม ประทีป ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารพิพาทกับจำเลยที่ 1 ได้หยุดก่อสร้างอาคารพิพาทซึ่งอยู่ในงานช่วงที่ 2 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2541 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 แจ้งให้รอการก่อสร้างไว้ก่อนเพราะมีปัญหาเรื่องการเงิน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าหลังจากโจทก์ชำระเงินงวดที่ 11 ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ไม่ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารพิพาทไม่แล้วเสร็จจนปัจจุบันนี้เพราะมีปัญหาเรื่องการเงิน กรณีจึงเป็นที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า โดยพฤติการณ์แห่งคดีหรือโดยสภาพหรือโดยเจตนาของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่โจทก์จะต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารพิพาทต่อไปอีก เพราะถึงอย่างไรจำเลยที่ 1 ก็ไม่ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทต่อไปอันเป็นการไม่ชำระหนี้อยู่ดีและหากยังคงให้โจทก์ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 อีกย่อมเป็นการยังความเสียหายแก่โจทก์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารพิพาทให้แล้วเสร็จอีก การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงชอบแล้ว และถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายต่อโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share