คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา
จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีอีเฟดรีนของกลางจำนวน 1,273 เม็ด อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย และเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เป็นการกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ และเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากันกระทงหนึ่งแล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีอีเฟดรีนผสมอยู่กับเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 727 เม็ด นั้น แม้ผลการตรวจพิสูจน์ของกลางจำนวนนี้จะสามารถคำนวณน้ำหนักสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนแยกต่างหากออกจากกันได้ แต่การที่ของกลางแต่ละเม็ดเป็นเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เมทแอมเฟตามีนที่มีอีเฟดรีนผสมอยู่จึงเป็นวัตถุอันเดียว การร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและเพื่อจำหน่ายซึ่งของกลางจำนวน 727 เม็ด จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2545 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 1,273 เม็ด น้ำหนัก 120.240 กรัม และอีเฟดรีนผสมอยู่กับเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 727 เม็ด น้ำหนัก 70.690 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนรวม 14.003 กรัม ซึ่งเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ไว้ในครอบครองเพื่อขาย และร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนผสมอยู่กับอีเฟดรีนดังกล่าว จำนวน 727 เม็ด น้ำหนัก 70.690 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนรวม 2.421 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองพร้อมยึดอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของกลาง ก่อนคดีนี้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2544 จำเลยที่ 1 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 9 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย. 6540/2544 ของศาลชั้นต้น และเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2544 จำเลยที่ 2 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 9 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7812/2544 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองกระทำความผิดในคดีดังกล่าวในขณะที่มีอายุเกินกว่าสิบเจ็ดปี และกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนของกลาง เพิ่มโทษจำเลยทั้งสองตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม, 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62, 89, 106 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 7 ปี ฐานร่วมกันมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำคุกคนละ 17 ปี รวมจำคุกคนละ 24 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุกคนละ 36 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 18 ปี ริบอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62, 89, 106 ทวิ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 7 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง เป็นจำคุกคนละ 10 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 5 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นได้รับหนังสือจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์แจ้งว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 ปรากฏตามสำเนามรณบัตรท้ายหนังสือของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โจทก์รับว่าเป็นความจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 1,273 เม็ด น้ำหนัก 120.240 กรัม และอีเฟดรีนผสมอยู่กับเมทแอเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 727 เม็ด น้ำหนัก 70.690 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนทั้งสองจำนวนรวม 14.003 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขาย และเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนรวม 2.421 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีอีเฟดรีนของกลางจำนวน 1,273 เม็ด อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย และเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เป็นการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 และเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากันกระทงหนึ่งแล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกมีอีเฟดรีนผสมอยู่กับเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 727 เม็ด นั้น แม้ผลการตรวจพิสูจน์ของกลางจำนวนนี้จะสามารถคำนวณน้ำหนักสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนแยกต่างหากออกจากกันได้ แต่การที่ของกลางแต่ละเม็ดเป็นเมทแอมเฟตามีนผสมด้วยอีเฟดรีนก็เพื่อวัตถุประสงค์ให้เป็นเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เมทแอมเฟตามีนที่มีอีเฟดรีนผสมอยู่จึงเป็นวัตถุอันเดียว การร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและเพื่อจำหน่ายซึ่งของกลางจำนวน 727 เม็ด จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทความผิดของจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) (ที่แก้ไขใหม่) นั้น ไม่ถูกต้องเนื่องจากเงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของมาตรา 15 วรรคสอง ตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ามาตรา 15 วรรคสาม (2) ของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ กรณีบทความผิดดังกล่าวจึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 แม้จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี เพิ่มโทษในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 10 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 20 ปี 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share